สัญญาณภัยสงครามใหญ่ตั้งเค้า นับตั้งแต่ปธน.โจ ไบเดนเข้าดำรงตำแหน่งก็ได้ยกระดับความขัดแย้งที่รุนแรงกว่าทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา ต่อ จีน อิหร่าน รัสเซียและเกาหลีเหนือ รวมทั้งประเทศอื่นๆอีกจำนวนมาก มีการออกคำสั่งเคลื่อนย้ายกำลังทางทหารทุกเหล่าทัพอย่างกว้างขวางและครั้งใหญ่ที่สุดบ่อยครั้งกว่าสมัยอดีตปธน.ทรัมป์
หลังจากสหรัฐฯปล่อยข่าวลวงโจมตีรัฐบาลจีนมาตลอด ขณะนี้ ประชาชนอเมริกันส่วนใหญ่ของประชากรสำรวจ (58%) เชื่อว่าจีนสร้างไวรัส โควิด-19 ขึ้นมา มองสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว สหรัฐจะนำเอาประเด็นป้ายสีว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จีนเป็นต้นเหตุไปข่มขู่จีน หวังเรียกร้องค่าเสียหายจากจีนเป็นเงินมหาศาล เป็นไปได้ว่าเพราะสหรัฐฯมีหนี้สินล้นพ้นตัวกว่า 28 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ จึงถือโอกาสหาเรื่อง ระดมแก๊งรุมจีนและเพื่อหาเงินทองมาใช้หนี้ก็เป็นได้
ประเทศจีนรู้ตัวดีว่าเป็นเป้าหมายสำคัญและอาจถูกชิงโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงการคาดคะเน แต่มีเหตุจากระบบข่าวกรองขั้นสูงของจีนที่สามารถทราบความเคลื่อนไหวของโลกได้อย่างแม่นยำ จึงได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าประหวั่นใจที่สุดขึ้น นั่นคือ
ในระหว่างการประชุมสองสภาของประเทศจีนให้ทุกเหล่าทัพ ปธน.สี จิ้นผิงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รณรงค์ปลุกเร้า ให้ประชาชนจีนทั่วประเทศและนอกประเทศพร้อมเข้าสู่สงคราม เตรียมพร้อมเผชิญกับความยากลำบากและความเสียหายขั้นสูงสุด โดยจะต้องไม่ยอมพ่ายแพ้โดยเด็ดขาด ถึงขนาดทำสารคดีการเดินทัพทางไกลในช่วงเวลาที่กองทัพแดงกำลังข้ามแม่น้ำตู้เหออย่างยากลำบาก มีประชาชนเรือนแสนลงไปอยู่ในแม่น้ำ ทำตัวเป็นตอม่อแบกสะพานให้ทหารแดงเดินข้ามแม่น้ำไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจมากและไม่เคยมีการรณรงค์ขนาดนี้มาก่อนเลย
ล่าสุดหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ปลุกใจชาวจีนทุกคนอย่างจริงจัง ชี้ให้เห็นที่มาของการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐฯ ที่ใส่ร้ายประเทศจีนเป็นต้นตอแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อข่มขู่คุกคามจีนอย่างสุดโต่ง คำเตือนนี้เกิดขึ้นก่อนการจัดประชุม G7 ซึ่งสหรัฐเตรียมผลักดันกลุ่ม G7 ซึ่งล้วนเป็นพันธมิตรใกล้ชิดให้เดินหน้าต้านจีนและรัสเซียอย่างจริงจัง
การที่สหรัฐฯชูประเด็นว่าจีนเป็นต้นตอการแพร่กระจายโควิด-19 เป็นกลยุทธ์สำคัญที่สหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรม เพื่อบีบคั้นจีนในทุกปริมณฑล ทั้งการทูตระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ การเมืองและการทหารโดยปกติการพิสูจน์ทราบเรื่องของเชื้อโรคต้องใช้หลักการข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่สหรัฐนำมาใช้เป็นเครื่องมือบีบคั้นประเทศจีนด้วยวาระซ่อนเร้นทางการเมืองโลก
หวัง อี้กล่าวว่า การระบาดใหญ่ครั้งนี้เป็นโรคระบาดทั่วโลก และได้พัฒนาเป็นสงครามระหว่างไวรัสและมนุษยชาติ ตามหลัก “กฎหมายแห่งสงคราม” ของสหประชาชาติ ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือสงครามโลกรูปแบบหนึ่ง เมื่อแพร่ระบาดไวรัสเท่ากับการทำสงคราม การตรวจสอบแหล่งที่มาของการติดเชื้อจากแหล่งที่มาของการระบาด นั่นคือการปักหมุดว่า ใครเป็นผู้เริ่มสงคราม
ภัยพิบัติและความสูญเสียที่เกิดจากไวรัสแพร่ระบาดสู่โลกมนุษย์ จะได้รับการแก้ไขหลังจากการระบาดทั่วโลกสิ้นสุดลง และมีการประเมินความสูญเสียของมนุษยชาติทั้งด้านการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจ กำลังคน ตลอดจนผลกระทบทางจิตวิญญาณท่ามกลางฝ่าโควิดระบาด
เป็นที่แน่นอนว่า สหประชาชาติอาจจัดตั้งศาลระหว่างประเทศ (War Reparations) ขึ้นมาสอบสวนอย่างจริงจัง อาจมีการเรียกร้องค่าชดเชยเยียวยาสงครามเชื้อโรคนี้ ซึ่งจะทำให้ประเทศพัฒนาขนาดใหญ่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เหมือนเช่นนาซีเยอรมนีและญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้น คำตอบของแหล่งที่มาของไวรัส จึงกำหนดชะตากรรมของประเทศนั้น
สหรัฐโดยอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์จะไม่ยอมรับว่าเขาล้มเหลวในการจัดการปัญหาโควิด-19 ระบาดและหรือสหรัฐเป็นตัวการแพร่เชื้อ และจีนจะไม่ยอมตกเป็นแพะรับบาป ตอนนี้คนทั้งโลกกำลังจับตารอดูผลการสืบสวน โรคระบาดทำให้โลกยากลำบากและโกรธขึ้ง เมื่อระบุแหล่งที่มาของการติดเชื้อไวรัสแล้วและสามารถระบุเจตนาเบื้องหลังการกระทำ การชดเชยค่าปฏิกรรมสงครามโรคระบาดจะทำลายประเทศที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นที่ฮิตเลอร์ได้รับในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ความจริงเรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างประเทศที่สำคัญ เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของประเทศต่างๆ ประเทศจีนคัดค้านอย่างแข็งขันต่อการตีตราว่า COVID-19 เป็นโรคปอดบวมของจีนหรือโรคปอดบวมในอู่ฮั่น คัดค้านการอ้างว่าแหล่งที่มาของไวรัสอยู่ในหวู่ฮั่นอย่างเด็ดขาดนอกจากไม่มีหลักฐานอย่างเพียงพอแล้ว ยังเปิดเผยให้เห็นพฤติกรรมที่เลวร้ายของนักการเมืองอเมริกันบางคน ที่ต้องการโยนแพะรับบาปให้จีนอย่างไม่ละอาย ประชาชนจีนต้องร่วมมือกัน ป้องกันการปรากฏตัวของคนทรยศและผู้ทรยศ ผลประโยชน์ของชาติ ย่อมเกี่ยวพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผลประโยชน์ประชาชนจีนอย่างแยกไม่ออก
หวัง อี้ย้ำว่า “ฉันขอเชิญชวนชาวจีนที่มีมโนธรรมในยุคสมัยของฉัน เพื่อประโยชน์แห่งมาตุภูมิ และเพื่อคนจีนทั้งมวลไม่ให้ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ปลูกฝังความเกลียดชัง ล้อมกรอบโดยมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งเป็นตัวแทนของลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกาอีกต่อไป”
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2564 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนได้อนุมัติกฎหมายเพื่อตอบโต้การคว่ำบาตรของต่างชาติ โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ในขณะที่สหรัฐผลักดันที่ประชุมสุดยอด G7 เรียกร้องให้ WHO สืบสวนต้นกำเนิดการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ใหม่โดยไม่สนใจ การตรวจสอบที่ผ่านมา เรียกว่าเปิดเกมใหม่ไม่สนใจข้อเท็จจริง แต่ข้อสงสัยที่จีนและประเทศอื่นนอกกลุ่มพันธมิตรสหรัฐ เรียกร้องให้ตรวจสอบการทดลองลับในแล็ปชีวภาพของสหรัฐกว่า 200 แห่งทั่วโลก กลับไม่มีเสียงตอบรับ และรายงานการเสียชีวิตของคนอเมริกัน อิตาลี สเปนจำนวนมากก่อนหน้าการระบาดในจีน ในกลุ่มประเทศ G7 ที่น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวกับไวรัสโควิดกลับรูดซิบปาก
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.64 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าร่างแถลงการณ์ร่วมของที่ประชุมสุดยอด G7 ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นเจ้าภาพจัดประชุมที่เมือง Cornwall ระหว่าง 11-13 มิ.ย.64 มีเนื้อหาบางส่วนระบุว่า ที่ประชุมฯ เรียกร้องให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ดำเนินการสืบสวนต้นกำเนิดการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ใหม่ โดยคาดว่าร่างแถลงการณ์ประเด็นดังกล่าวเป็นการริเริ่มของสหรัฐฯ ที่ก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับ 13 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย แคนาดา อิสราเอล สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก นอร์เวย์ เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ลัตเวีย สโลวีเนีย และสาธารณรัฐเช็ก ออกแถลงการณ์เมื่อ 31 มี.ค.2564 ว่า ไม่ยอมรับรายงานการสืบสวนต้นกำเนิดการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ของ WHO และคณะทำงานด้านสาธารณสุขของจีน ที่เผยแพร่เมื่อ 30 มี.ค.2564 ว่า เชื้อ COVID-19 อาจมาจากการแพร่เชื้อจากค้างคาวผ่านสัตว์ที่เป็นพาหะสู่มนุษย์ แต่ WHO และจีน ไม่สามารถสรุปประเภทของสัตว์ดังกล่าวได้ และต้องศึกษาข้อเท็จจริงของต้นกำเนิดโรคต่อไป