ปูตินกร้าวทำนายชัดจักวรรดินิยมอเมริกาจะพินาศ!?!ตามรอยอดีตสหภาพโซเวียต แตกแยกภายในมัวเมาอำนาจระรานไปทั่ว

1470

ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 4 มิ.ย.2564 ว่าเขาเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ กำลังแสดงบทบาทการเป็นมหาอำนาจจักรวรรดิ ที่มั่นใจในอำนาจไม่จำกัด จักรวรรดินิยมมักสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นสำหรับตัวเอง มันจะพอกพูนขึ้นจนพวกเขาไม่สามารถรับมือกับมันได้ต่อไป ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป ในที่สุดก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆแล้วล่มสลายในที่สุด

การประชุมสุดยอดระหว่างปูตินกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ มีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 16 มิ.ย.2564 การประกาศอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาของปูติน อาจต้องการส่งข้อความถึงไบเดนก่อนการประชุมว่า สหรัฐฯ ควรทำหน้าที่เป็นมหาอำนาจที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโลก เสถียรภาพและการประสานงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างสมดุล แทนที่จะใช้มาตรการสุดโต่งเพื่อตอบสนองตนเองและทำให้โลกวุ่นวาย

สำนักข่าวทาส(Tass) รายงานว่าปูตินกล่าวว่า “ผู้ปกครองจักรวรรดิ มักมีความมั่นใจว่าพวกเขาสามารถข่มขู่ ชักชวน หรือซื้อความภักดีของประเทศหรือกลุ่มต่างๆ ได้ และคิดว่าปัญหาทั้งหมดของพวกเขาสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้ แต่ปัญหาก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้อีกต่อไป และตอนนี้สหรัฐอเมริกากำลังเดินบนเส้นทางแบบเดียวกับอดีตสหภาพโซเวียต และการเดินไปสู่เส้นทางนี้จะต้องพบจุดจบแบบเดียวกันอย่างแน่นอน” 

(ปธน.ปูตินกล่าวในงานประชุมผู้บริหารธุรกิจต่างประเทศผ่านวีดิโอคอนเฟอร์เร้นซ์ -4 มิ.ย.2564 ในงาน SPIEF)

 

ท่ามกลางการระบาดโควิด-19 สหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าความโกลาหลเกิดขึ้นที่ภายในประเทศอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังก่อปัญหาให้กับต่างประเทศไม่เลิกรา  เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือโลกของตน สหรัฐฯได้คว่ำบาตรหรือข่มขู่ประเทศอื่นหลายประเทศหลายครั้ง แต่ความจริงก็คือ ความเข้มแข็งของชาติและอิทธิพลระดับโลกของวอชิงตันลดลงแล้ว ด้วยการกระทำของผู้นำหลายยุค ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภายในประเทศและรักษาความเป็นผู้นำระดับโลกได้

คำพูดของปูตินที่มีต่อสหรัฐฯ นั้นแม่นยำมาก หลี่ ไฮตง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยการต่างประเทศของจีน กล่าวกับโกลบอลไทมส์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มิ.ย.2564 ว่า “ชนชั้นสูงทางการเมืองของสหรัฐฯ ล้มเหลวในการปกครองประเทศ เมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถจัดการกับการแบ่งแยกทางสังคมที่รุนแรงได้ พวกเขาพยายามที่จะหันเหความสนใจภายในประเทศอย่างไร้ความรับผิดชอบด้วยการสร้างวิกฤตหรือแม้แต่การทำสงครามในต่างประเทศ หรือส่งต่อปัญหาภายในประเทศให้กับคู่แข่งสำคัญๆ เช่น จีนและรัสเซีย” 

ประเทศสหรัฐฯ ไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับบรรดาชนชั้นสูงทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่เป็นผู้กำหนดวาระในการโฆษณาชวนเชื่อและผลักดันประเทศไปในทิศทางที่ตนได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งอาจไม่ได้หมายความว่าประโยชน์นั้นเป็นของประชาชนอเมริกา สหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่แพ้สงครามเกือบทั้งหมดที่เปิดตัวในศตวรรษที่ 21 แต่ยังติดหล่มอยู่ในตะวันออกกลางถอนตัวไม่ขึ้นด้วย  บริษัทในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งประสบความเสียหายครั้งใหญ่ เนื่องจากสงครามการค้าที่สหรัฐฯ ก่อขึ้นกับจีน ผลที่ตามมาก็คือ แทนที่จะช่วยให้ชนชั้นสูงทางการเมืองรับมือกับปัญหาในประเทศได้ดีขึ้น ความพยายามเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการประณามจากสาธารณชนในสหรัฐฯ ต่อชนชั้นนำที่มีอิทธิพลต่ออำนาจรัฐเหล่านี้มากขึ้น

ปูตินไม่ใช่ผู้นำเพียงคนเดียวที่ถ่ายทอดความคิดที่ว่าสหรัฐฯ กำลังเดินบนเส้นทางล่มสลายเหมือนสหภาพโซเวียต ก่อนหน้านี้มิคาอิล กอร์บาชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นต้นเหตุให้การล่มสลายของประเทศของเขาในปี 1989 กล่าวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า เหตุจลาจลของรัฐสภาทำให้เกิดคำถามว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นชาติที่เป็นหนึ่งเดียวกันต่อไปอีกหรือ?  สื่อหลายสำนักต่างตีความว่า กอร์บาชอฟเชื่อว่าสหรัฐฯ จะเดินตามเส้นทางของสหภาพโซเวียตที่จะแตกแยกและล่มสลายในที่สุด  

สำหรับหลายคนที่ได้เห็นการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯสะท้อนลักษณะบางอย่างของสหภาพโซเวียตก่อนการสลายตัว การแบ่งขั้วทางการเมือง และการแบ่งแยกทางสังคมนั้นรุนแรงเกินกว่าจะปรองดอง เป็นผลให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นการจลาจลในวอชิงตันดีซีที่รัฐสภา  อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาสู่เวทีสาธารณะอีกครั้งในวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ พร้อมกล่าวสุนทรพจน์ต่อการประชุมพรรครีพับลิกันแห่งรัฐนอร์ทแคโรไลนา ในเมืองกรีนวิลล์ ด้วยวิธีคิดและท่วงทำนองแบบเดิมๆ

หลี่กล่าวว่า หากทรัมป์ซึ่งถูกกล่าวหาว่ายุยงให้เกิดความรุนแรงจากการจลาจลในเมืองหลวงกลับมาได้รับเลือกตั้งอีกในสมัยหน้า  สหรัฐฯก็จะยังคงอยู่ในความระส่ำระสาย หลงประชานิยม ตามที่ประธานาธิบดีทุกคนโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเดโมแครตหรือพรรครีพับลิกัน  ซึ่งจะนำสหรัฐฯ ไปในทิศทางที่แตกแยกมากขึ้น เผชิญหน้ากันภายในมากขึ้น แบ่งแยกออกจากกัน และเสื่อมโทรมในที่สุด

แนวโน้มในปัจจุบันบ่งชี้ว่าสหรัฐฯ จะเสื่อมสลายจากภายใน ทำให้ยากที่จะมีบทบาทอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพทั้งในประเทศและนานาชาติต่างประเทศ