นับตั้งแต่ที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะเหลืออยู่ 2 ประเทศมหาอำนาจรัสเซีย-จีน ที่เดินหน้าส่งออกวัคซีนให้ “ชาติกำลังพัฒนาและชาติยากจน” อย่างไม่ลดละ และน่าจะใกล้ชิดกันมากที่สุดในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่แค่ดีลทางการค้า แต่ยังเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า จีนและรัสเซียกำลังขึ้นเรือลำเดียวกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายเอาชนะเชื้อโรคร้ายไวรัสโควิด-19 ด้วยการยื่นมือเข้าช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา ที่ถูกชาติตะวันตกทอดทิ้งซึ่งล้วนต่างไม่พอใจกับการกักตุนวัคซีนไว้ใช้เองของสหรัฐและชาติตะวันตกบางแห่ง
วันที่ 12 พ.ค.2564 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น นำเสนอบทวิเคราะห์ว่า จีนและรัสเซียนำหน้าประเทศตะวันตก ที่มีความต้องการส่งออกวัคซีนแก่บรรดาประเทศกำลังพัฒนา ทำให้สองชาติมหาอำนาจรัสเซียและจีนมีความใกล้ชิดกว่าที่เคยมีมา
ในขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวรายงานถึงบทบาทการผลิตวัคซีนของรัสเซียและจีน ว่า กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรัสเซีย หรือ RDIF ได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัทด้านชีวเภสัชภัณฑ์ของจีน 3 แห่งเพื่อผลิตสปุตนิก ไฟว์ (Sputnik V) ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ปริมาณกว่า 260 ล้านโดสคาดว่าจะเพียงพอฉีดวัคซีนให้กับประชาชนมากกว่า 130 ล้านคนทั่วโลก
บริษัทด้านชีวเภสัชภัณฑ์ของจีน 3 แห่งได้แก่ บริษัท Shenzhen Yuanxing Gene-tech, บริษัท Tibet Rhodiola Pharmaceutical Holding และบริษัท Hualan Biological Engineering
ในบทวิเคราห์ของซีเอ็นเอ็นระบุว่า เมื่อวัคซีนสปุตนิค ไฟว์ ของรัสเซีย ที่กระจายไปตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก หลายร้อยล้านโดสจะมาพร้อมกับฉลาก “ผลิตในจีน” (Made in China) หลังบรรดาบริษัทจีนทำข้อตกลงเพื่อผลิตวัคซีนสปุตนิค ไฟว์ มากกว่า 260 ล้านโดส ซึ่ง ปัจจุบันนี้ได้รับการอนุมัติเพื่อใช้งานในโลกกว่า 60 ประเทศ รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมาก เช่น เม็กซิโก อินเดีย และอาร์เจนตินา
การวิจัยของมหาวิทยาลัยดยุกเปิดเผยว่า ขณะที่บางประเทศ เช่น แคนาดา อังกฤษ และนิวซีแลนด์ ซื้อวัคซีนเพียงพอฉีดประชากรตัวเองมากกว่า 3 เท่า แต่ประเทศส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้รับวัคซีนในปริมาณเพียงพอฉีดประชากรครึ่งหนึ่งของประเทศตัวเองด้วยซ้ำ รวมถึงประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงสุดจากโควิด-19
โบโบ โล ผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย และอดีตรองหัวหน้าคณะทูต สถานทูตออสเตรเลียประจำกรุงมอสโก วิเคราะห์ว่า ทั้งรัสเซียและจีนเห็นโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์จากการระบาดใหญ่ โดยเอาชนะใจนานาชาติจากความชื่นชม เพื่อแผ่อิทธิพลของทั้งสองชาติ โบโบ โล กล่าวว่า “ได้ผลอย่างยิ่งที่สองชาติจะชี้ให้โลกเห็นว่า ประเทศตะวันตกกำลังเห็นแก่ตัวในการจำกัดการกระจายวัคซีนไปประเทศกำลังพัฒนา เป็นคำอธิบายที่เห็นภาพจริงๆ ของทั้งรัฐบาลปักกิ่งและมอสโก”
แต่กระนั้นซีเอ็นเอ็นยังคงสรุปอีกด้านว่า ความร่วมมือวัคซีนของรัสเซียและจีนมีด้านมืดกว่าที่คาคคิดเช่นกัน
จูดิธ ทวิกก์ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเวอร์จีเนีย คอมเมนเวลธ กล่าวหาว่า ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รัสเซียพยายามบิดเบือนข้อมูลเพื่อทำลายความเชื่อมั่นในวัคซีนของสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เช่น ไฟเซอร์ และแอสตราเซเนกา ส่วนจีนทำเช่นกัน โดยสื่อทางการประโคมรายงานข่าวการเสียชีวิตจากวัคซีนที่ผลิตโดยสหรัฐและยุโรป
ในความเป็นจริงสื่อตะวันตกเกือบทุกฉบับ พยายามโหมข่าวผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของรัสเซียและจีนมาโดยตลอด และปิดบังหรือไม่กล่าวซ้ำถึงผลกระทบจากการฉีดวัคซีนของสหรัฐมากกว่า
ผลการวิจัยล่าสุด ที่เผยแพร่โดยซีเอ็นเอ็น รายงานการวิเคราะห์ระหว่างการวิจัย (interim analysis) ของผลลัพธ์การทดลองระยะที่สามของวัคซีน สปุตนิค ไฟว์ ของรัสเซียว่า ประสิทธิภาพต้านโควิด-19 ชนิดแสดงอาการ สูงถึง 91.6% และประสิทธิภาพต้าน โควิด-19 ชนิดปานกลาง และ รุนแรง เต็มที่ 100% ขณะที่เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงจากวัคซีนอยู่ในระดับต่ำมากถึง 0.2% ในกลุ่มได้รับวัคซีนจริง และผลข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่รุนแรง เช่น อาการปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน อาการคล้ายไข้หวัด และระดับพลังงานในร่างกายต่ำ
ด้านวัคซีนซิโนแวคของจีน มีผลวิจัยจากอินโดนิเซียชี้ว่า สามารถป้องกันโควิดได้ 94% และป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 100%
นายบูดี กูนาดี ซาดิคิน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ว่า ทางกระทรวงฯ ได้ติดตามผลกับบุคลากรทางการแพทย์ 25,374 รายในกรุงจาการ์ตาเป็นเวลา 28 วันหลังจากได้รับวัคซีนซิโนแวคโดสที่สองจนถึงช่วงปลายเดือน ก.พ. และได้พบว่าวัคซีนของซิโนแวคสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% รวมถึงป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ 96% ภายในเวลาเพียง 7 วันหลังจากได้รับวัคซีน