อดีตรองนายกฯเปิดตัวเลขสุดตะลึง!คนไทย-ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ขออยู่โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์

2237

จากที่มีกระแสย้ายประเทศเกิดขึ้นจนกลายเป็นประเด็นดราม่าให้พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในสังคม จากโลกโซเชียลฯ ทำให้มีหลายคนตั้งคำถามกับประเทศนี้ และมีอีกหลายคนเช่นกัน ประกาศอยู่ที่นี่ พร้อมปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วย

ล่าสุดวันนี้ 13 พฤษภาคม 2564  นายปองพล อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีการย้ายประเทศด้วยว่า

“การย้ายถิ่นฐานของคนไทย ขณะนี้มีกระแสในโซเชียลมีเดียอ้างถึงคนไทยจำนวนหนึ่งราว 6 แสนคนอยากย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในประเทศอื่นด้วยเหตุผลว่าประเทศไทยล้าหลัง ไม่เจริญก้าวหน้า ไม่มีเสรีภาพ และไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว ทำให้ผมสนใจในเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะตัวผมเองได้เคยไปศึกษาในสหรัฐอเมริกามา 9 ปี และได้เดินทางไปท่องเที่ยว และติดต่อธุรกิจ ในต่างประเทศในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา

ได้ไปมาทุกทวีปและหลายสิบประเทศ ได้พบคนไทยในต่างแดนมากมาย ก็พบว่าการย้ายถิ่นฐานของผู้คนทั่วโลกในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเรื่องปกติเนื่องจากความก้าวหน้าทางการสื่อสาร ทางเทคโนโลยี การขนส่งทางอากาศ และการโอนเงินไปต่างประเทศ ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวและการติดต่อกับต่างประเทศในเรื่องต่างๆสะดวกยิ่งขึ้น

ผมได้ไปศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานของคนไทยก็พบว่าปัจจุบันมีคนไทยได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลกราว 1.5 ล้านคน ด้วยเหตุผลต่างๆกันทั้งไปศึกษา ประกอบอาชีพต่างๆ ทำธุรกิจข้ามชาติ เป็นแรงงานที่มีฝีมือ และสมรสกับผู้เป็นเจ้าของประเทศ มี 20 ประเทศที่มีคนไทยย้ายไปอยู่จำนวนมากที่สุดตามลำดับดังนี้

สหรัฐอเมริกา 350,000 คน   ออสเตรเลีย 100,000 คน   เกาหลีใต้ 80,000 คน   สหราชอาณาจักร 71,000 คน   ไต้หวัน 67,573 คน   เยอรมนี 58,975   ญี่ปุ่น 52,848 คน   สวิสเซอร์แลนด์ 51,362 คน   สวีเดน 49,776 คน   จีน 43,551 คน   ฝรั่งเศส 35,000 คน   สิงคโปร์ 21,288 คน   มาเลเซีย 16,765 คน   แคนาดา 13,526 คน   อิสราเอล 13,000 คน   นอร์เวย์ 9,000 คน   อิตาลี 7,227 คน   เดนมาร์ก 6,000 คน   เบลเยี่ยม 4,000 คน   ไอร์แลนด์ 4,000 คน

นอกจากนั้นยังมีอีกหลายประเทศที่มีคนไทยไปอยู่มากกว่า 2,000 คนได้แก่ อิหร่าน  เนเธอร์แลนด์  รัสเซีย  บรูไน  นิวซีแลนด์  สหรัฐเอมิเรตส์  และอินโดนีเซีย

ขอเรียนว่าการจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ประเทศใดนั้นจะต้องเป็นไปตามกฏหมายและหลักเกณฑ์ในการเข้าประเทศนั้นด้วยซึ่งแทบทุกประเทศมีความเข้มงวดมากเพราะไม่ต้องการให้ชาวต่างชาติเข้าไปแย่งอาชีพของคนของเขา ขอให้ทดลองขอวีซ่าเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศนั้นก่อน ซึ่งบางประเทศก็ไม่ให้วีซ่าท่องเที่ยวง่ายๆนัก ยิ่งขอย้ายถิ่นฐานไปอยู่ถาวรยิ่งมีเงื่อนไขสาระพัด

ขณะเดียวกันผมก็ไปดูจำนวนชาวต่างประเทศที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยปรากฏว่ามีมากถึง 2,459,785 คน ด้วยเหตุผลต่างๆได้แก่แรงงานที่มีใบอนุญาตทำงาน นักศึกษา ผู้บริหารและพนักงานบริษัทธุรกิจข้ามชาติ คู่สมรสของคนไทย และผู้เกษียณอายุมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตกมีดังนี้

รัสเซีย 225,143 คน  ฝรั่งเศส 112,076 คน เยอรมนี 96,736 คน สหราชอาณาจักร 89,143 คน สหรัฐอเมริกา 25,000 คน และชาวแสกนดิเนเวียจากสวีเดน เดนมาร์ก และนอร์เวย์ 10,000 คน รวมทั้งชาวเอเชียจาก จีน 250,000 คน   ญี่ปุ่น 140,568 คน   อินเดีย 94,248 คน  ตลอดจนแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากกว่า 1 ล้านคน

ในเดือนธันวาคม 2563 ทีมยุทธศาสตร์การลงทุนของสื่อ Bloomberg ของสหรัฐอเมริกาได้ยกย่องให้ประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในการพัฒนาการลงทุนจากทั้งหมด 17 ประเทศที่นำมาพิจารณาโดยอยู่เหนืออันดับที่ 2 ถึง 4 ได้แก่ รัสเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และมาเลเซีย ตามลำดับ โดยพิจารณาจากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่มั่นคง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิผลซึ่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และความสำเร็จในการต่อสู้การแพร่ระบาดของโควิด-19

ผมเชื่อว่าจากข้อมูลที่ผมได้รับและศึกษามาข้างต้น คนไทยส่วนใหญ่และชาวต่างประเทศจำนวนมากยังพึงพอใจในสถานภาพปัจจุบันของการบริหารประเทศและการดำรงชีวิตอยู่ในประเทศไทยภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”