ยานยนต์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยอย่างแน่นอนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และคนไทยตื่นตัวตอบรับกระแสพลังงานสะอาด โดยเฉพาะรัฐบาลมีจุดยืนเรื่องนี้ในยุทธศาสตร์พัฒนาพลังงานทางเลือกอย่างชัดเจน ภาคเอกชนเช่นปตท.ตอบสนองกับกระแสโลกและ แนวทางของประเทศอย่างทันเหตุการณ์ ล่าสุดประกาศเตรียมติดตั้งสถานีชาร์ตไฟสำหรับรถไฟฟ้า เปิดมิติความพร้อมให้คนไทยไม่ลังเลใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น
11 พ.ค. 2564 นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าในปีนี้ ปตท. เตรียมเดินหน้าที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีแผนจะปรับปรุงสถานีให้บริการก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์(ปั๊มเอ็นจีวี) เป็นสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) เพื่อการสนับสนุนการใช้งานรถอีวีในประเทศอีกทางหนึ่ง
โดยจะเริ่มดำเนินในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกลุ่มแท็กซี่ ที่อาจจะมีการสนับสนุนให้เปลี่ยนเป็นการใช้รถอีวีแทนในอนาคต ก่อนที่จะขยายเป็นพื้นที่ต่างจังหวัด ทั้งนี้จะรองรับหัวชาร์จทั้งระบบกระแสไฟฟ้าตรง (DC) ที่เป็นการชาร์จแบบเร็ว(ฟาส ชาร์จ) และกระแสไฟฟ้าแบบสลับ (AC)
นายวุฒิกร กล่าวว่า “ปัจจุบันกำลังศึกษาทิศทางความพร้อมในหลาย ๆ ด้านเพื่อตัดสินใจว่าจะเป็นผู้ลงทุนด้วยตัวเอง หรือจะเปิดการประมูลเพื่อคัดเลือกผู้ลงทุนอื่น ๆ เข้ามาทำ ซึ่งปั๊มเอ็นจีวีของเราปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 300-400 สาขาทั่วประเทศ”
ซึ่งก็มองว่าเป็นโอกาสที่จะใช้เป็นพื้นที่ในการต่อยอดไปยังธุรกิจใหม่ โดยปัจจุบันแนวโน้มความต้องการใช้รถอีวีมีมากขึ้น ทั้งนี้การลงทุนปั๊มชาร์จอีวีจะเป็นการเพิ่มในส่วนสเตชั่นอีวีเข้าไป ไม่ใช่การยกเลิกเอ็นจีวี โดยเงินลงทุนต่อหัวชาร์จในระบบ DC จะอยู่ที่ 1-2 ล้านบาท ขณะที่ AC จะถูกลงมากว่านั้น โดยสาขาแรกที่มองไว้ว่าจะมีการเพิ่มส่วนของอีวีเพิ่มเติมคือ “สาขาถนนกำแพงเพชร 2”
ขณะเดียวกัน ปตท. ได้เตรียมดำเนินการต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์สินค้าฮะรุมิกิ(Harumiki) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากงานวิจัยโครงการวิจัยการใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นเหลือทิ้งจากก๊าซธรรมชาติเหลวในการปลูกพืชเมืองหนาว
โดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง ซึ่งปัจจุบันสามารถนำผลไม้ อย่างเช่น สตรอเบอรี่ และผลไม้เมืองหนาวมาพัฒนาเป็นผลิตภัฑ์ต่าง ๆ ได้นอกเหนือจากการขายเป็นผลสด ทั้งน้ำผลไม้ ครีมทามือ และสเปร์ยแอลกอฮอล์ โดย ปตท. จะใช้วัตถุดิบภายใต้แบรนด์ดังกล่าวมาต่อยอดให้เป็นร้านคาเฟ่ในรูปแบบใหม่ ให้บริการเครื่องดื่มและขนมเบเกอรี่ ซึ่งจะนำร่องก่อนในพื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ก่อนที่จะขยายสาขาในพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติม
สำหรับสถานการณ์การใช้ก๊าซธรรมชาติของไทยช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) พบว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7-8% อยู่ที่ประมาณ 4,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจที่เริ่มขยายตัว ก่อนจะประสบกับการแพร่ ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จึงต้องติดตามสถานการณ์การใช้อีกครั้ง ขณะที่ตลอดปีนี้ คาดการณ์ปริมาณการใช้จะอยู่ที่ 4,700-4,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ใกล้เคียงกับปี 2562
นอกจากนี้ ภาพรวมตลาดแอลเอ็นจีมีความต้องการใช้ปัจจุบันอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน ขณะที่สัญญานำเข้าแอลเอ็นจีที่เป็นระยะยาว(Long term) อยู่ที่ประมาณ 5.2 ล้านตัน และเป็นการซื้อจากตลาดจร(Spot)อีก 4-5 แสนตัน ซึ่งจะเหลือความต้องการอีกประมาณ 5-8 แสนตัน โดยกรมเชื้อเพลิงและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะต้องร่วมกันกำหนดตัวเลขร่วมกันอีกที
สำหรับบทบาทของรัฐบาล โดยบอร์ดอีวีแห่งชาติได้ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ 100% ในปี 2030 เร็วขึ้นจากแแผนเดิม 5 ปี พร้อมตั้งอนุกรรมการ 4 ด้าน สร้างอีโคซิสเท็มหนุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมการผลิตโครงสร้างพื้นฐาน แบตเตอรี่
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยถึงเป้าหมายในการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ซึ่งต้องเป็นรถยนต์ ZEV หรือรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษ
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า “รัฐบาลวางเป้าหมายในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยในปี 2030 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 2.5 ล้านคัน โดยในเรื่องนี้ต้องสร้างระบบรองรับ และมีการกระตุ้นการใช้งานให้มากขึ้นด้วย”