จี้จับสึก “พระมหาสมปอง” หลังขึ้นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอล มีส่วนพัวพันในธุรกิจเอกชน

15874

เกรงศาสนาเสื่อม!? จี้จับสึก “พระมหาสมปอง” หลังขึ้นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอล มีส่วนพัวพันในธุรกิจเอกชน ยอมตนให้คฤหัสถ์ใช้สอย!?

จากกรณีเมื่อวันที่ 3 พ.ค.64 ที่ได้มีข่าวว่า สโมสรจัมปาศรี ยูไนเต็ม จังหวัดมหาสารคาม ได้แต่งตั้ง “พระมหาสมปอง” พระนักเทศน์ชื่อดังวัดสร้อยทอง เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ให้คำแนะนำและเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่สโมสรจัมปาศรี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564

ล่าสุดทางด้านของ ที่ทางด้านของ ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างรุนแรง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ขอฝากท่านรัฐมนตรีที่ดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) หน่อยครับ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอล ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจเอกชน ดูๆแล้วเหมือนจงใจจะแต่งตั้งเพื่อมาร์เก็ตติ้งสโมสร ส่วนตัวผมมองว่าน่าจะไม่เหมาะแก่สมณสารูป เพราะอาจจะเข้าข่ายกูลทูสกสิกขาบท อาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 13 ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมตนให้คฤหัสถ์ใช้สอย ท่านอาจจะกลายเป็นแบรนด์หรือเครื่องมือหาสมาชิกหรือหาเงินเข้าบริษัทในโอกาสต่อไปได้

ขอฝากท่านรัฐมนตรีเพื่อเร่งรัดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำเสนอคณะกรรมการมหาเถรสมาคมด้วย ก่อนที่พระภิกษุรูปอื่นๆ จะถือเป็นเยี่ยงอย่างต่อไปครับ

ต่อมาทางด้านของ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฎเป็นการทั่วไปในโชเชียลมีเดียและสื่อมวลชนอย่างแพร่หลาย กรณีที่พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระนักเทศน์ชื่อดังแห่งวัดสร้อยทอง ได้ช่วยรีวิวแนะนำสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมให้กับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง

โดยช่วยโฆษณาสรรพคุณให้อย่างเลิศเลอไม่กระดากปาก ทั้งๆที่ฐานานุรูปของตนนั้นเป็นถึงสมณะหรือเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา เป็นสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้อนุญาตให้เป็นตัวแทนของพระองค์ในการเผยแพร่หลักธรรมเพื่อให้ทุกคนหลุดพ้นจากกิเสสตัณหามุ่งสู่นิพพานเป็นที่ตั้ง หาใช่ทำตนเป็นสาวกของบริษัทเอกชน ที่มุ่งแสวงหากำไรและผลประโยชน์เป็นอาจิณไม่

การกระทำดังกล่าว เป็นโลกวัชชะ ที่ถูกสังคมย่อมติเตียน และอาจต้องอธิกรณ์เข้าข่ายอวดอุตตริมนุสสธัมม์ คือ การโอ้อวดความสามารถของตัวเอง อันเป็นโทษที่ร้ายแรงหนึ่งในปาราชิก ข้อที่ 4 ซึ่งอาจต้องหลุดพ้นจากการเป็นพระภิกษุได้


นอกจากนั้น ล่าสุดพระมหาสมปองยังได้ยอมรับไปเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับสโมสรฟุตบอล ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจเอกชน เพื่อหวังสร้างภาพลักษณ์ทำการตลาดสร้างกำไรให้กับสโมสร อันขัดต่อศีลบัญญัติ 227 ข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้ามภิกษุไว้โดยชัดแจ้ง อาทิ อาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 13 คือ ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ยอมตนให้คฤหัสถ์ใช้สอย ประจบคฤหัสถ์ เป็นต้น

ทั้งนี้บุคคลใดก็ตามที่กระทำการดังกล่าวได้ อาจมิใช่การกระทำของพระภิกษุผู้มีศีลในบวรพุทธศาสนา หากแต่เป็นอลัชชี-เดียรถีย์หนีเข้ามาแอบบวชได้ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขาของมหาเถรสมาคม จักต้องรีบดำเนินการไต่สวนและสอบสวนกรณีดังกล่าวเสียโดยเร็ว หากเป็นความผิดจะได้รีบกำจัดออกไปเสียจากพุทธศาสนา เพื่อไม่ให้ผู้ใดก็ตามที่โกนหัวห่มเหลืองแล้วแสร้งมาทำตนเป็นพระให้ผู้คนหลงกราบไหว้ มากระทำการอันไม่เหมาะสม ทำลายพระพุทธศาสนาเยี่ยงนี้ได้

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีอนุชา นาคาศัย ซึ่งมีอำนาจกำกับดูแลในเรื่องนี้อยู่ และผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ตำรวจพระเร่งสอบสวนเอาผิดบุคคลที่ทำตัวเป็นอลัชชี-เดียรถีย์เหล่านี้เสีย เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อมิให้พระภิกษุรูปอื่นๆ ยึดถือเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด