สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกโหมกระหน่ำโจมตีจีนเรื่องการละเมิดสิทธิ์ชาวอุยกูร์ ในซินเจียงต่อเนื่องอย่างเป็นกระบวนการ รัฐบาลจีนจึงออกมาตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เนื้อๆ ใครกันแน่ล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบันยังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม ควรถูกลงโทษมากกว่ามาเที่ยวใส่ร้ายป้ายสีประเทศอื่นด้วยการปั้นแต่งข้อมูลเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไม่ละอายใจ
ในวันที่ 31 มี.ค.2564 เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศจีนได้เผยแพร่แถลงการตอบโต้คำกล่าวหาของสหรัฐต่อประเทศจีนทันที
มาดามหว่า ชุนหยิง (Hua Chunying)โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงถึงการกล่าวหาจีนว่า “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ถือเป็นการโกหกครั้งใหญ่ที่สุดในบรรดา การใช้ความรุนแรงทางการทูตเหนือกฎหมายระหว่างประเทศของสหรัฐและพันธมิตร
-ในรอบ 40 ปีมานี้ ประชาชนชาวอุยกูร์ของจีนอยู่ดีมีสุข เดิมมีแค่ 5.5 ล้านคน แต่ตอนนี้มีถึง 12 ล้านกว่าคนไปแล้ว อายุก็ยาวขึ้น โดยเฉลี่ยก่อนนี้ 30 กว่าปี แต่ตอนนี้ 70 กว่าปีแล้ว ทุกคนที่อาศัยอยู่ในซินเจียงมีสิทธิทัดเทียมกัน ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน ชีวิตคนเหล่านี้กำลังดีขึ้น นี่คือความสำเร็จในแง่สิทธิมนุษยชนที่จีนทำได้
-นักการเมืองตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดาและอียูรับความจริงข้อนี้ไม่ได้ จึงแต่งข่าวลวงมากล่าวหาจีนอย่างเลื่อนลอย โดยไปสัมภาษณ์บุคคลที่น่าสงสัยมาให้เป็นข่าว ข่าวที่นำเสนอเพื่อโจมตีรัฐบาลจีนก็ไม่เป็นความจริง เอาเข้าจริงแล้ว ชาติเหล่านี้ไม่ได้สนใจสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์เลย ไม่ต้องการให้จีนประสบความสำเร็จในการปรับปรุงคุณภาพชาวจีนต่างหาก
-ความจริงแล้ว ชาติเหล่านี้แค่ต้องการเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้าง เพื่อเข้ามาแทรกแซงและขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของจีนเท่านั้น วิธีการสกปรกของชาติเหล่านี้เท่ากับหมิ่นเกียรติชาวจีน ขณะเดียวกัน ก็ละเมิดอธิปไตยชาวจีนอย่างผิดกฎหมายด้วย
-บรรดานักการเมืองตะวันตกที่หมิ่นเกียรติจีนเหล่านี้ เมื่อหันกลับไปมองดูประเทศพวกนี้แล้ว ก็ไม่ได้ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนมากมายอะไรเลย คนพวกนี้จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะมาตัดสินรัฐบาลจีนหรือทำให้ผู้คนเข้าใจผิดรัฐบาลจีนในเรื่องสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด
-ระหว่าง 4 ศตวรรษแห่งการล่าเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศสเข้าไปรุกรานและยึดครองอาฟริกา มีประชาชนอาฟริกันราว 10 ถึง 12 ล้านคนพลัดบ้านเกิดถูกส่งไปเป็นทาส และล่าสุดคือกรณีของ “จอร์จ ฟลอยด์หายใจไม่ออก”ที่ถูกตำรวจอเมริกันกระทำทารุณจนเสียชีวิต กระทั่งสหประชาชาติได้ยืนยันถึงปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อคนเชื้อสายอาฟริกันในสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร นั้นมีอยู่จริง
-ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ประชาชนพื้นเมืองนามิเบีย ถูกจักรวรรดินิยมเยอรมนีสังหารหมู่ ระหว่างปี 1904 ถึง 1908 ประชาชนถึง 1 แสนคนถูกสังหาร ประชาชนเผ่าเฮโรโร (Heroro)ถึง 3 ใน 4 ถูกสังหาร ประชาชนเผ่า นามากัว (Namagua) ถูกสังหารไปถึงครึ่งหนึ่ง ถือเป็นครั้งแรกของการฆ่าล้างเผ่าพันธุในสมัยศตวรรษที่ 20
-ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีสมัยนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว 6 ล้านคน มีจำนวน 1 ใน 6 เป็นเด็ก
-สหรัฐอเมริกา อังกฤษและพันธมิตรอื่นๆ ยังพากันรุกรานอาฟกานิสถานอย่างผิดกฎหมาย ละเมิดข้อตกลงเจนีวาของสหประชาติ ทำให้ประชาชนอาฟกานิสถานจำนวนมากเสียชีวิตลง
-ระหว่างการล่าอาณานิคมและเข้ายึดครองประเทศอัลจีเรีย ฝรั่งเศสก็เข่นฆ่าประชาชนที่นั่น 5.5 ล้านคน ประธานาธิบดีอัลจีเรียบอกว่า การสังหารโหดครั้งนี้ชาวอัลจีเรียจะไม่มีวันลืมและจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติ
-ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา รัฐบาลแคนาดาก็ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองอินเดียน มีเด็กๆ ชาวพื้นเมืองจำนวนมาก ถูกบังคับให้เข้าเรียนโรงเรียนคริสต์ ถูกบังคับให้ยุติเรียนภาษาและวัฒนธรรมตนเอง มีตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการระบุว่ามีเด็กๆ จำนวน 50,000- 150,000 คน ตายเพราะถูกเลือกปฏิบัติระหว่างเข้าไปเรียนในโรงเรียนคริสต์เหล่านี้
-ไม่นานมานี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ตกแต่งข้อมูลเท็จแล้วหาเรื่องทำสงครามกับรัฐบาลอิรักและซีเรีย ทำให้ประชาชนสองประเทศนี้เสียชีวิตจำนวนมากและพลัดบ้านเมือง และช่วงนี้เป็นเวลาครบรอบปีที่ 10 นับแต่เกิดสงครามในซีเรีย มีประชาชนซีเรียไม่น้อยกว่า 350,000 คนที่เสียชีวิตและบ้านแตกสาแหรกขาด เคยคิดกันไหมว่าน่าจะมีการจับประเทศผู้ร้ายมาลงโทษ?
-ช่วงนี้ก็เป็นช่วงวาระครบรอบ 10 ปีสงครามรุกรานลิเบียที่อังกฤษ ฝรั่งเศสและประเทศพันธมิตรอื่นๆ ร่วมรุกรานซึ่งก่อให้เกิดการอพยพไปทั่วภูมิภาค กลายเป็นปัญหามาจนทุกวันนี้ ตอนนี้มีประชาชนลิเบียกว่า 400,000 คน ไร้บ้านมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เคยคิดกันไหมว่าประเทศผู้ร้ายที่รุกรานลิเบียสมควรจะถูกจับมาลงโทษ?
-ไม่เพียงแต่ชาติตะวันตกเหล่านี้จะไม่รู้จักสำนึก ยังจะมาหาทางคว่ำบาตรเล่นงานชาติอื่นๆตามอำเภอใจตนอีก โดยใช้คำว่า “สิทธิมนุษยชน” มาเป็นข้ออ้างเพื่อทำให้ประเทศอื่นๆ ขาดเสถียรภาพและทำให้ประชาชนในประเทศนั้นๆไร้ที่อาศัย
-พอเกิดโควิด-19 ระบาด ประเทศพัฒนาเหล่านี้ กลับปล่อยปละละเลยประชาชนในประเทศตนเอง ทำให้ประชาชนตนเองหลายแสนคนต้องประสบชะตากรรมเลวร้ายโดยไม่จำเป็น หนำซ้ำยังกีดกันประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ มิให้เข้าถึงวัคซีนอีกด้วย
เราจึงสงสัยว่า “สิทธิ” ที่ประเทศเหล่านี้อ้างกันนักหนานั้นดีอย่างไร เมื่อประชาชนในประเทศตัวเองยังพากันเสียชีวิตอยู่อย่างนี้? ชาติเหล่านี้พูดถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน คำถามคือเป็นสิทธิมนุษยชนของใคร? ชาติเหล่านี้รู้สึกละอายใจกันบ้างไหมเมื่อใช้คำว่าเคารพสิทธิมนุษยชน?
ประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ชาติเหล่านี้ถือสิทธิตัดสินชี้ขาดเรื่องสิทธิมนุษยชนคนอื่น แท้จริงไม่มีคุณสมบัติที่จะมาพูดถึงสิทธิมนุษยชนเลย ด้วยซ้ำ คนพวกนี้ไม่ใช่นักบุญ และไม่มีพลังเพียงพอที่จะพูดด้วยซ้ำ
วันนี้ประเทศจีนไม่ใช่อิรัก ซีเรียหรือลิเบีย และแน่นอนที่สุด ไม่ใช่จีนเมื่อ 120 ปีในอดีต ซึ่งถูกชาติบางกลุ่มรุมทำร้ายโดยใช้ปืนและรถถังเมื่อนานมาแล้ว จีนขณะนี้ ไม่ใช่จีนที่กลุ่มผู้ร้ายจะใช้ข้อมูลเท็จโจมตี แล้วหลบหนีไปโดยไม่ต้องรับโทษเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ขอชาติเหล่านี้ อย่าได้ประเมินความตั้งใจที่จะปกป้องเกียรติและสิทธิของตนเองของชาวจีน จากข้าศึกผู้รุกรานต่ำเกินไป ยุคนี้เป็นยุคตาต่อตา ฟันต่อฟัน ชาติเหล่านี้กำลังรนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเพราะความโง่เขลาและหยิ่งผยองเกินไป