“ดร.อานนท์”ชี้ฝ่ายค้านป่วน-“แก๊งจาบจ้วง”ไม่หยุดใส่ร้ายสถาบัน อาจเกิดทางออกปท.คือรัฐประหาร!?

2057

จากเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่องการรัฐประหาร ทำให้ต่อมาถูกฝ่ายม็อบหรือที่เรียกว่า สามกีบ เยาวชนปลดแอกรุมรีพอร์ตนั้น

ทั้งนี้โดยเนื้อหาที่ ดร.อานนท์ โพสต์ไว้มีเนื้อหาระบุว่า “รัฐประหารมีความจำเป็นในการเมืองไทย ในฐานะของเครื่องตัดไฟ รัฐประหารไม่ได้ทำให้ประเทศไทยก้าวหน้านัก แต่ทำให้ไม่บรรลัยหรือตายหมู่เกิดสงครามกลางเมือง เมื่อใดก็ตามมีประชาธิปไตยเต็มใบเมื่อใด ประเทศไทยก้าวหน้าไปน้อยมาก ตีกันอย่างหนัก ประชาธิปไตยครึ่งใบแบบสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เหมาะกับประเทศไทยมาก แต่ต้องได้คนเก่งและคนดีแบบป๋าเปรมครับ

ถ้าสถานการณ์มันกัดกร่อนมาก รัฐประหารมีความจำเป็น ป้องกันสงครามกลางเมือง ขจัดภัยของชาติและราชบัลลังก์ ผมคิดว่าอีกไม่นานความจำเป็นที่จะทำรัฐประหารมีแน่นอน ไม่มีทางหลีกเลี่ยง และรัฐประหารเที่ยวนี้ต้องกวาดล้างให้สิ้นซากไม่ให้เหลือขยะแผ่นดิน จำเป็นต้องโหด แบบ 6 ตุลาคม 19 ที่ทำให้กระบวนการฝ่ายซ้ายจัดกระเจิงไม่ผุดไม่เกิดมาเกือบ 30 ปี เที่ยวนี้ก็จำเป็นต้องทำ ขจัดขยะแผ่นดินให้สิ้นซากเสียก่อน แล้วรีบถวายคืนพระราชอำนาจ

ประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute monarchy) และไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตย (Democracy) แต่อย่างใดเลย

ถ้าประชาชนโง่ ประชาชนชั่ว ประชาชนเลว ประชาชนเห็นแก่ตัว เป็นประชาธิปไตยเมื่อใด ฉิบหายเมื่อนั้น ประชาชนเป็นใหญ่ไม่ได้ ต้องประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวไว้ ประชาชนต้องมีธรรมะก่อนจึงเป็นประชาธิปไตยได้ ธรรมาธิปไตยต้องมาก่อน”

 

นั่นคือข้อความที่ดร.อานนท์ ได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ก ซึ่งเมื่อเนื้อหานี้ได้เผยแพร่ออกไป ก็ปรากฏว่า มีบรรดาผู้สนับสนุนม็อบคณะราษฎร ไม่ว่ากลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล และมีท่าทีจาบจ้วงสถาบัน ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์โจมตี อย่างรุนแรงและหยาบคาย ก่อนที่จะรุมรีพอร์ตข้อความที่ระบุถึงคำว่ารัฐประหารจากทุกแพลตฟอร์มของดร.อานนท์ ในโซเชียลฯ จนกระทั่งเฟซบุ๊กที่โพสต์เรื่องดังกล่าวถูกทางต้นทางคือเฟซบุ๊กลบออกไป

ต่อมาดร.อานนท์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ข้อความถูกลบหายไปกับ ทีมข่าวเดอะทรูธ โดยชี้แจง พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมบางส่วนว่า การพูดถึงรัฐประหารนั้น เป็นคำพยากรณ์ 7 ขั้น ที่ตนเองได้เคยเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ว่าหากเกิดรัฐประหารอีกครั้ง จะก่อให้เกิดการกวาดล้าง ขบวนการล้มเจ้า พวกที่ใส่ร้ายสถาบัน ซึ่งเหตุการณ์ สิ่งที่พวกต่อต้านรัฐบาล ที่พยายามโจมตีใส่ร้ายสถาบัน ทำเป็นขบวนการนั่นเอง ที่ตนพยากรณ์ไว้ว่า คงหนีไม่พ้นจะเกิดรัฐประหาร

“ดังนั้นเองจึงโดนพวกเยาวชนปลดแอก ได้ชวนเชิญพวกตัวเองที่เรียกกันในนาม ว่าพวกประชาธิปไตย อ้างสิทธิเสรีภาพ ทำการรุมรีพอร์ต ยิงรีพอร์ต เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ที่ติดคำว่า รัฐประหารของตนออกหมด จนโดนเฟซบุ๊กลบออกไปจากหน้า ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นคนลบออกไปแต่อย่างใด นี่คือพฤติกรรมของพวกไร้ปัญญา ประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม ดร. อานนท์ ด้วยเปิดเผยถึงเรื่องนี้ด้วยว่า ผมพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ 12 พ.ย. 2563 ว่าจะเกิดรัฐประหาร ไม่ช้าก็เร็ว และจะเกิดการกวาดล้างด้วย ตามบทความนี้เลย

การเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวไกล คณะราษฎร และเยาวชนปลดแอกไปในทางเดียวกัน ในทางที่เป็นปฏิปักษ์และเป็นศัตรูกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องและรุนแรงมาโดยตลอด ดังที่เคยเขียนเล่าให้ฟังมาแล้วว่าไม่เคยมีการคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยความถ่อยหยาบช้าเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ผมต้องอธิบายว่าความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีต่อเนื่องมายาวนานหลายร้อยปี เฉพาะพระบรมมหาจักรีราชวงศ์นั้นก็ยาวนานมากว่า 250 ปี พระราชบารมีในสถาบันพระมหากษัตริย์จึงไม่ใช่พระราชบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวในฐานะตัวบุคคล แต่ในฐานะสถาบันที่สืบทอดพระราชภารกิจต่อเนื่องจากสมเด็จพระบรมราชบุรพการีและสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์สืบเนื่องมา ซึ่งได้ทรงนำบ้านเมืองรอดพ้นหายนะภัยและวิกฤติมานับครั้งไม่ถ้วนด้วยพระราชปรีชาญาณและความเสียสละ การที่ได้ทรงบำเพ็ญบุญบารมีมาจึงนำมาเป็นทั้งความผูกพันและความศรัทธาที่หยั่งรากลึกในจิตใจของคนไทย

การลบหลู่ ล้มล้าง ดูหมิ่นในสิ่งที่ศรัทธาหยั่งรากลึก ไม่ได้แตกต่างไปจากการดูหมิ่นดูแคลนศรัทธาในศาสนา ในอดีตประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีสงครามศาสนา และมีผู้ที่ยอมพลีชีพเพื่อสิ่งที่ตนศรัทธา (Crusader) มามากมายโดยตลอดมา จะยอมตายหมายให้ไฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย คนเราสามารถตายถวายเป็นราชพลีเพื่อที่สิ่งเคารพและศรัทธาได้ นี่คือจิตวิทยาและธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้น

การหมิ่นศาสนาแบบที่สำนักข่าวของฝรั่งเศสชื่อชาลี เอ็บโดทำนั้น ท้ายที่สุดจะนำมาซึ่งการสังหารหมู่ โดยผู้ที่ไม่อาจจะทนต่อการลบหลู่ในสิ่งที่เขาศรัทธาได้ โปรดอ่านบทความ Je ne suis pas Charlie! ที่ผมเขียนไว้ https://mgronline.com/daily/detail/9580000004879 สิ่งที่ผมกลัวว่าจะเกิดขึ้นคือ จะมีคนที่อดทนไม่ไหวฆ่าสังหารหมู่ด้วยความบ้าคลั่ง เพราะไม่อาจจะทนต่อการลบหลู่ศรัทธาที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล นางสาวพรรณิการ์ วานิช ตลอดจนแกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก และคณะราษฎร 2563 ได้อีกต่อไป ซึ่งผมเองก็ไม่ปรารถนาที่จะเห็นเช่นนั้น

ผมได้เฝ้าสังเกตอารมณ์ทางการเมืองของมวลชน (Political sentiment) ของมวลชนทั้งสองฝ่ายคือมวลชนกษัตริย์นิยมและมวลชนปฏิกษัตริย์นิยมมาโดยตลอดทั้งบนโลกออนไลน์และโลกออฟไลน์บนท้องถนน และมีคำพยากรณ์ว่าบ้านเมืองของเราจะต้องผ่านจุดเปลี่ยนเจ็ดประการอันน่ากลัวและรุนแรงดังนี้

หนึ่ง เกิดการด่าทอฝั่งล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ในพื้นที่ของตนด้วยความอดทนไม่ไหวอย่างรุนแรง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่รถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ถูกมวลชนปลดแอก ตะโกนด่าทอหยาบคายมาก ขว้างปาแก้วน้ำและรองเท้าใส่รถพระที่นั่ง กักขังหน่วงเหนี่ยว ขวางรถพระที่นั่ง แล้ววันนั้นคนไทยที่จงรักภักดีก็หมดความอดทน เหมือนเส้นด้ายแห่งความอดทนที่ขาดผึง จากที่เคยกลัวทัวร์ลิเบอร่านลง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์บนโลกออนไลน์ เพราะแม้แต่ดาราที่อยู่เฉยๆ ไม่ชูสามนิ้วก็ถูกคุกคามบนโลกไซเบอร์ (Cyberbully) ทุกคนก่อนหน้านี้ก็เลยกลัว แต่เหตุการณ์วันนั้นประชาชนผู้จงรักภักดีไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป มีการแสดงความเห็นคัดค้าน ตำหนิ ด่าทอ พฤติกรรมและการกระจำจาบจ้วงหยาบช้า อย่างรุนแรงบนโลกออนไลน์ในพื้นที่ของตนด้วยความอดทนไม่ไหวอีกแล้วอย่างรุนแรงบนทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram และ Line แต่ยังอยู่ในบ้านของตัวเองไม่ได้ไปทัวร์ลงหน้าบ้านมวลชนอีกฝั่ง

ผมเฝ้าเห็นเหตุการณ์นี้บนโลกออนไลน์ แล้วผมก็คิดในใจและทำนายว่าต่อไปนี้หากมวลชนล้มเจ้ายังคงทำพฤติกรรมจ้วงจาบหยาบช้าลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยศรัทธา จะถูกทัวร์ลงกลับอย่างหนัก และสิ่งที่ผมทำนายก็แม่นยำจริงดังนี้

สอง เกิดทัวร์ลงฝั่งล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ด้วยความโกรธแค้นที่ถูกลบหลู่ศรัทธา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อม็อบปลดแอกไปเคลื่อนไหวที่สีลม มีคนเพศที่สามแต่งตัวเลียนแบบเจ้านายและมีการกางกลดผ้าให้คนกราบด้วยท่าที่ราวกับสัตว์เลื้อยคลาน มีการแต่งตัวสวมหมวกเบเร่ต์ เลียนแบบสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แล้วถ่ายวีดีโอคลิปแสดงการจ้วงจาบหยาบช้าล้อเลียนพระบรมวงศานุวงศ์อย่างรุนแรงและแพร่หลาย

ผมติดตามกระแสอารมณ์มวลชนบนโลกออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม คืนนั้นมวลชนที่จงรักภักดี เกิดความโกรธแค้นและอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ก้าวข้ามไปเปิดศึกทัวร์ลงบนหน้าบ้านของมวลชนปลดแอกที่โพสต์เนื้อหาจาบจ้วงอย่างรุนแรงด้วยความโกรธแค้นหนักมาก และทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Tiktok, Facebook หรือ Twitter ทำให้ผมทำนายได้ว่า ต่อไปนี้ มวลชนที่จงรักภักดีและถูกลบหลู่ศรัทธาจะไม่แค่ทนไม่ไหวบนโลกออนไลน์แล้ว แต่จะแสดงความคิดเห็นบนโลกออฟไลน์และบนท้องถนนอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้นอีกต่อไป

ในโลกออนไลน์นั้น ตามหลักวิชาการคนเราจะแสดงพฤติกรรมและความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมามากกว่า เพราะเราไม่กลัวการปะทะซึ่งหน้า หรืออาจจะหลบซ่อนตัวตนที่แท้จริงได้ เช่น การใช้อวตาร หรือ Virtual Private Network ทำให้ต่อไปหากไม่พอใจหรือมีอารมณ์โกรธจากในโลกออนไลน์ ต่อไปก็จะแสดงความไม่พอใจหรือด่าทอในโลกออฟไลน์ต่อไปได้ง่ายดาย

แล้วสิ่งที่ผมคิดไว้หรือพยากรณ์ไว้ก็กลายเป็นจริงในวันนี้

สาม ด่าทอแกนนำมวลชน บนโลกออฟไลน์ในที่สาธารณะเพราะถูกลบหลู่ศรัทธา
วันนี้ผมเห็นเหตุการณ์ที่คุณธนาธรและคุณช่อ ช่อ เดินทางไปที่ไหนเพื่อช่วยหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นชลบุรี สิงห์บุรี บางพลี ฉะเชิงเทรา นครศรีธรรมราชพยายามจะออกไปหาเสียง แล้วถูกล้อม ถูกตะโกนด่าทอโดยประชาชนอย่างรุนแรง ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงมาก ผมกลัวจะมีคนทนไม่ไหวขาดสติ แล้วจะยิงหรือทำร้ายคุณธนาธร หรือ คุณช่อ ทำให้ผมห่วงมากจริงๆ

ผมนี่ต้องกลับมาเปิดตำราเจตคติที่เคยเรียนกับ รศ. ดร. ธีระพร อุวรรณโณ ครูสอนจิตวิทยาสังคมของผม ว่ามีทฤษฎีด้าน attitude อะไรที่อธิบายได้บ้าง

การได้รับสารซ้ำๆ (Message repetition) นั้น คุณธนาธรและคุณช่อคงคิดว่าดี เพราะจะทำให้คนชอบมากขึ้น แต่ Elaboration likelihood model of persuasion ของ Petty กับ Cacioppo ได้ทดลองแล้วพบว่า

การได้รับสารซ้ำๆ ไม่ได้เกิดผลดีเสมอไป คือ ถ้าสารนั้นดีและตรงกับใจผู้รับสารหรือสารนั้นหนักแน่นมีเหตุมีผล การได้รับสารซ้ำๆ จะทำให้ยิ่งชื่นชอบ

แต่ในทางตรงกันข้าม การได้รับสารซ้ำๆ ที่เป็นสารที่ไม่ชอบ ไม่ตรงใจ ไม่หนักแน่น ไม่มีเหตุผล จะยิ่งทำให้ผู้รับสาร เกลียดชัง ไม่ชอบหนักมากยิ่งขึ้น

ระยะนี้ คุณธนาธร คุณช่อ คุณปิยบุตร ควรรู้ตัวว่า ผู้รับสารส่วนใหญ่ คือประชาชน ไม่ชอบ เกลียดชัง ทั้งสามคน การปรากฎกายในที่สาธารณะซ้ำๆ จะยิ่งทำให้คนเกลียดชังหนักขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งนำไปสู่ความรุนแรงในท้ายที่สุด

ที่ผมเขียนเตือนนี้ ผมก็ห่วงสวัสดิภาพของทั้งสามคน แต่ที่ผมห่วงกว่าคือความรุนแรงจะนำไปสู่การนองเลือดได้ และผมไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้น

ถ้าไม่โง่และไม่ดื้อจนเกินไป สามคนนี้ตลอดจนม็อบปลดแอก อย่าปรากฎตัวในที่สาธารณะเถิด จะเป็นผลดีกับตัวเอง และเป็นผลดีกับประเทศชาติ
ถ้าหากไม่เชื่อผม ยังปรากฏกายหรือยังไปทำม็อบจ้วงจาบหยาบช้า ลบหลู่สถาบันที่คนไทยศรัทธา สิ่งที่ผมพยากรณ์ต่อไปก็จะเกิดขึ้น

 

สี่ มวลชนทั้งสองฝั่งต่างไม่พอใจรัฐบาล เกิดความรุนแรง การปะทะ หรือการลอบฆ่า ท้ายที่สุดก็นองเลือด
แน่นอนว่ามวลชนล้มเจ้า ไม่พอใจรัฐบาลและกองทัพอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่มวลชนจงรักภักดีเมื่อเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกลบหลู่ จ้วงจาบหยาบช้า แต่รัฐบาลไม่ทำอะไร ก็จะโกรธรัฐบาล ที่ไม่มีน้ำยาออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ตนเองเคารพศรัทธา คนไทยที่รักและศรัทธาสถาบันพระมหากษัตริย์ มิอาจจะปล่อยและทนเห็นพระเจ้าแผ่นดินถูกรังแกคุกคาม จะลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันด้วยตนเอง ดังคำ hashtag ที่ว่า “ยิ่งหมิ่นก็ยิ่งรัก ยิ่งหาญหักยิ่งปกป้อง”

ทำไมจึงเกิดความรุนแรงได้ง่าย คำตอบคือสมมุติฐานความคับแค้นนำไปสู่ความก้าวร้าว (Frustration-aggression hypothesis) เพราะมวลชนฝ่ายหนึ่งถูกใส่ชุดความคิดผ่านสงครามไซเบอร์ล้มเจ้ามาอย่างยาวนาน อันเป็นการเล็งเห็นผลที่จะปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวาย เป็นภัยความมั่นคงของชาติบ้านเมือง วิธีการแบบนี้เรียกว่าการตลาดเพาะเมล็ดพันธุ์ความคิด (Seeding marketing) อันเป็นกลยุทธ์ของการตลาดดิจิทัล (Digital marketing) ที่ท้ายที่สุดจะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังคับแค้นใจและนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าววุ่นวายในบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดสติและขาดการควบคุมที่ดีพอ โปรดอ่านได้จากบทความขบวนการล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ https://mgronline.com/daily/detail/9630000064482

ในขณะที่มวลชนอีกฝั่งก็โกรธคับแค้นใจที่ถูกลบหลู่ศรัทธาและอาจจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงได้ง่ายพอๆ กัน อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์

ปัจจัยหนึ่งที่เร่งเร้าให้เกิดการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและความรุนแรงได้ง่ายมากคือ การหลงหายในฝูงชน (Lost in crowd) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีคนจำนวนมากอยู่ในเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ธนาธร ไปปรากฏตัวในฝูงชนจำนวนมาก ทั้งมวลชนของตนเองหรือมวลชนฝ่ายตรงกันข้าม เมื่อมีจำนวนคนมากๆ ในเหตุการณ์ การก่อเหตุร้าย ความรุนแรง การทำร้ายร่างกาย การฆ่า จะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะจับมือใครดมไม่ได้ และเกิดการกระจายความรับผิดชอบทางสังคมไปสู้คนจำนวนมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์ (Diffusion of social responsibility)

ความเป็นไปได้ในการก่อความรุนแรงกับแกนนำล้มเจ้า/แกนนำสนับสนุนสถาบันมีได้หลายทาง ยกตัวอย่างเช่น

1.ต่างชาติที่อยู่เบื้องหลังม็อบ โดยการสนับสนุนเงินทุน ให้มายกธงอุยกูร์ ซินเจียง ให้ตะโกนว่าฮ่องกง ไต้หวัน และทิเบต เป็นประเทศเอกราช อาจจะลงมือฆ่าแกนนำม็อบล้มเจ้า บางคน โดยเฉพาะแกนนำที่ไม่มีค่าราคาถูก ไร้การศึกษา ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง ที่จะมาโวยวายทีหลัง มีโอกาสถูกฆ่าตายมากที่สุด การทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวาย เอาศพมาแห่ และวิธีการเช่นนี้ เคยทำมาแล้วในหลายประเทศ

2. แกนนำหรือพรรคการเมืองบางพรรค อาจจะตัดสินใจหักหลังฆ่ากันเอง เพราะการทำม็อบต้องมีผลงานและมีการยกระดับ เมื่อโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ไปจนถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่อาจจะเรียกมวลชนได้มากพอ การฆ่ากันเองเอาศพมาแห่จะช่วยยกระดับการชุมนุมให้ใหญ่โตขึ้น

3. ม็อบชนม็อบ ขาดสติทั้งสองฝ่าย มีการประชาทัณฑ์ จนมีคนตาย มีการฆ่ากันตาย รุมกระทืบ เพราะอารมณ์อันเกลียดชัง ฮึกเหิมและลงหายในฝูงชน

4. นายทหารเกษียณนอกราชการ ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงยิ่ง เกิดความบ้าคลั่ง สละชีพเป็นราชพลี เดินเข้าไปในการชุมนุมของกลุ่มปลดแอก ซ่อมปืนหรือระเบิด อาจจะกราดยิงใส่มวลชน หรืออาจจะฆ่าแกนนำมวลชนจำนวนมาก แล้วฆ่าตัวตาย กรณีนี้อาจจะเป็นอดีตมือปืนหรืออดีตนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นคนลงมือก็ได้

5. แกนนำมวลชนล้มเจ้า ก็อาจจะสั่งยิงหรือถือโอกาสยิงแกนนำมวลชนอีกฝั่งเมื่อเกิดการตะลุมบอน ม็อบชนม็อบเพื่อให้เป็นผลงานของตนเองก็ได้

และอาจจะมีสถานการณ์ความรุนแรงอื่นๆ เกิดขึ้นได้อีกมาก ท้ายที่สุดจะเกิดการนองเลือด ซึ่งผมก็ไม่อาจจะทำนายได้ว่าการนองเลือดจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ผมได้แต่ภาวนาไม่ให้เกิดความรุนแรงและการนองเลือด ผมไม่อยากเห็นการนองเลือดบนแผ่นดินไทยเลย เพราะท้ายที่สุด เราทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ต้องนึกถึงกลอนอมตะของรองศาสตราจารย์นภาลัย สุวรรณธาดา ที่เขียนเอาไว้ว่า

ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง

 

 

ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง

แต่สถานการณ์จะไหลไปเช่นนั้น เพราะความโกรธแค้นในใจของแต่ละฝ่าย หรือมือที่สามจะลงมือก็ไม่อาจจะทราบได้ ขอให้ทุกฝ่ายตั้งสติให้ดี และได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีมือที่สาม

ห้า เมื่อเกิดการนองเลือด จะเกิดภาวะรัฐล้มเหลว (Failed state) และการปกครองแบบอนาธิปไตย (Anarchy)
เมื่อเกิดการนองเลือด มีแนวโน้มที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองได้ง่าย ไม่มีใครปกครองใครได้ รัฐบาลก็เสียฐานะและสภาพการนำการปกครอง หากมาถึงขึ้นนี้ การยุบสภา หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็อาจจะไม่ช่วยอะไร การออกมาปราบม็อบโดยใช้กำลังทหารหรือตำรวจของรัฐบาลก็อาจจะไม่ช่วยอะไร เพราะมวลชนทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ฟังและไม่ยอมรับรัฐบาลแล้วทั้งสิ้น

หากเกิดสุญญากาศทางการเมืองหลังการนองเลือดอาจจะเกิดการปกครองแบบอนาธิปไตย อันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน อาจจะเกิดการเผาบ้านเผาเมือง อาจจะเกิดการจี้ปล้นร้านค้า ห้างสรรพสินค้า เกิดมิคสัญญีและเหตุการณ์รุนแรงได้อย่างง่ายดาย

จุดเปลี่ยนผ่านในขั้นตอนที่หกนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ หากกองทัพเร่งทำรัฐประหารก่อนที่จะเกิดภาวะรัฐล้มเหลวและอนาธิปไตย คำทำนายถัดไปคือ

หก รัฐประหาร เพราะอำนาจรัฐนั้นก็อยู่ที่ปลายกระบอกปืน
คำพูดนี้เป็นคำพูดของ เหมา เจ๋อตุง และก็เป็นความจริงเสมอในสังคมไทยและการเมืองไทย เพราะเมื่อสองฝ่ายทะเลาะทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งมีการตะลุมบอนหรือการลงมือทำร้ายกัน โดยใช้ความรุนแรงหรือเกิดการนองเลือดแล้ว จะไม่มีใครยอมฟังใคร แต่ทั้งสองฝ่ายจะหยุดการทะเลาะกันในทันทีเมื่อมีคนถือปืนเข้ามาจี้ศีรษะและสั่งให้ทุกคนจงหยุด ทั้งสองฝ่ายจะฟังกระบอกปืน แม้ว่าจะไม่พอใจแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ต้องหยุดและยอมเพื่อเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยเสียก่อน

หลายคนอาจจะเห็นว่านี่คือวงจรอุบาทว์ทางการเมืองของประเทศไทย จบแบบเดิมๆ เจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมเองก็ไม่ได้อยากเห็นรัฐประหาร แต่ผมทำนายว่าเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง และมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูงมาก เพราะประเทศไทยในทุกวันนี้ แทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทั้งยังมีการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง แม้กระทั่งการประท้วงก็เลยธงการเมืองไปมากเหลือเกิน ไปแตะต้องคุกคามหยามเหยียดสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่เหนือการเมืองมาโดยตลอด

น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงอยู่เหนือการเมืองมาโดยตลอด ทรงเป็นหลักชัยและศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นความแน่นอนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มีการแย่งชิง การโกง การทำร้ายทำลายกันตลอดเวลา สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทรงทำหน้าที่เครื่องตัดไฟหรือทรงมีพระราชอำนาจพิเศษ (Royal prerogative) มาอย่างต่อเนื่อง และทรงใช้พระราชอำนาจก็ต่อเมื่อเกิดความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเท่านั้น

แต่วันนี้มีนักการเมืองและพรรคการเมือง ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเป็นคู่ขัดแย้ง ทั้งๆ ที่สถาบันไม่เคยและไม่เคยคิดที่จะลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองของพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม ทำให้หากเกิดการนองเลือดในคราวนี้สถาบันพระมหากษัตริย์อาจจะไม่สามารถทำหน้าที่ในการเป็นเครื่องตัดไฟสถานการณ์อันร้อนแรงทางการเมืองได้อย่างสะดวกนักตามพระราชประสงค์อีกต่อไป ทำให้บ้านเมืองมีโอกาสเกิดวิกฤติได้ง่ายมาก

เจ็ด เกิดการกวาดล้างดำเนินคดี Reset และ Reform ประเทศไทย (?)
ผมมั่นใจว่าการกวาดกวาดล้างดำเนินคดี จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหลังรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นมาตลอด แต่จะสะเด็ดน้ำหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ทำรัฐประหาร

ที่ผ่านมาก็มีรัฐประหารหน่อมแน้ม ไม่จัดการให้เด็ดขาด ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปหรือแก้ปัญหาใดๆ ให้ประเทศไทยแต่อย่างใด

การ Reset ก็อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้

แต่การกวาดล้างดำเนินคดีในเที่ยวนี้ น่าจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่นักศึกษาจะไม่มีป่าให้เข้า และแกนนำจะต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ พร้อมคดียาวเป็นหางว่าว ไม่ได้กลับมาแผ่นดินไทยได้ง่ายๆ

ส่วนการปฏิรูปหรือ Reform ประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศไทยที่รากฐานให้สำเร็จได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องของอนาคตที่อาจจะหวังได้น้อย แต่ก็ต้องพยายาม

ผมได้แต่ภาวนาว่าตัวเองจะพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตข้างหน้าของบ้านเมืองของเราไม่แม่นยำ ไม่อยากให้สถานการณ์ไหลมาทางนี้ดังที่พยากรณ์

ขอวิงวอนให้ทุกท่านมีสติและปัญญาอันเฉียบแหลมในการประคองสถานการณ์บ้านเมืองให้พ้นจากการนองเลือดให้สำเร็จให้จงได้

ขอฝากประเทศไทย บ้านเกิดเมืองนอนที่รักยิ่ง ไว้ในมือของทุกคน

 

(คลิปเสียง ดร.อานนท์)