Truthforyou

มะเดี่ยว ผกก.ดัง ลั่นคนไม่ชอบดารามากขึ้นเพราะโชว์สิทธิพิเศษ แขวะศิลปินสลิ่มโง่ๆ

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในรอบที่สาม ซึ่งกำลังสร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาชน เพราะได้รับความเดือดร้อนในหลายด้าน รวมทั้งผู้ที่ติดเชื้อ ขณะที่ทางรัฐบาลเองก็พยายามเร่งแก้ไข แต่ก็มีการล่าชื่อให้รัฐมนตรีอย่างอนุทิน ชาญวีรกุล ผู้รับผิดชอบกระทรวงสาธารณสุขลาออกด้วย

ทั้งนี้มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 โดย มะเดี่ยว นายชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงใน Chookiat Sakveerakul ถึงกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสที่ตามมาด้วยปัญหาต่างๆว่า

จากนี้วงการบันเทิงจะเปลี่ยนไปนะ คนไม่ชอบดารามากขึ้นเพราะรู้ว่าในวิกฤติแบบนี้ ดารานักร้องศิลปินไม่ได้ช่วยอะไร จริงอยู่ว่างานอย่างพวกเรามีส่วนช่วยทำให้การกักตัวของประชาชนมีอะไรกล่อมเกลาจิตใจบ้าง แต่คนเครียดกันหนักขนาดนี้จะเอาอะไรมาบันเทิงคงเอาไม่อยู่แล้ว

แล้วยิ่งดาราศิลปินออกมาโพสต์โชว์สิทธิพิเศษ ออกมาทำตัวลอยเหนือปัญหาทั้งปวง นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกห่างเหินกับพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนท่านห่างออกไปทุกที และนั่นก็ทำให้ความคิดที่ว่าพวกนี้เต้นกินรำกินอวยผู้มีอำนาจไปวันๆ ชัดแจ้งยิ่งขึ้น

รำลึกยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ ดารานักร้องศิลปินถูกกำจัดเป็นพวกแรกๆ ก็ด้วยความโกรธแค้นของประชาชนด้วยวิธีคิดแบบเดียวกัน หวังว่าบ้านเมืองเราคงไปไม่ถึงจุดนั่น แต่เมื่อเหตุการณ์ถึงปกติสุข (ที่ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่) หน้าตาของวงการบันเทิงจะเป็นแบบไหน เอเจนซี่สินค้าใดๆ จะยังกล้าจ้างดาราศิลปินโง่ๆที่เป็นสลิ่ม เป็น ignorant ไปนำเสนอสินค้าตัวเองหรือไปเล่นละครอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่เพราะพวกเอเจนซี่กับลูกค้าและช่องทีวีส่วนใหญ่ก็ศีลเสมอกัน

เวลาดาราศิลปินอ้อนแฟนๆ ก็จะบอกว่าตนเป็นคนของประชาชน แต่เวลาออกความเห็นอะไร ก็มักจะบอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ถ้านั่นทำให้คนที่สนับสนุนคุณผิดหวังหรือเสื่อมความนิยมก็คือสิ่งที่สมควรได้รับ แล้ววันหนึ่งคุณออกมาบอกว่ารับใช้พี่น้องด้วยความสุขความบันเทิง ใครจะไปเชื่อ เพราะคุณตอแหลออกสื่อไปแล้วโดยไม่รู้ตัว

ต่อมาผู้กำกับชื่อดัง ยังโพสต์ข้อความถึงกรณีเหตุการณ์ในประเทศที่เป็นอยู่อีก โดยมีเนื้อหาบางช่วงที่น่าสนใจว่า พรุ่งนี้จริง ๆ คือวันที่จะเปิดทำการแล้ว แต่ต้องปิดทำการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของคนในทีม งานการที่วางไว้ก็มีอันต้องปรับแผนใหม่กันหมด แล้วไอ้การเปลี่ยนแผนงานมันส่งกระทบที่เราต้องคิดอ่านหลายอย่างมาก ทั้งคน ความปลอดภัย และ กระแสเงินสด อันนี้สำคัญมาก ๆ

คนบริหารงานนั่งกินเงินเดือนไม่เข้าใจหรอกว่า ผู้ประกอบการธุรกิจ จนไปถึงแรงงานตัวเล็กตัวน้อยจะตายกันอยู่แล้ว เจอโควิดทำแฮททริกไป พวกคุณยังมาลอยหน้าลอยตาขอความร่วมมือจากเราให้หยุดงาน กักตัว โดยเฉพาะ รมต. สาสุก ที่ยังไม่มีทีท่ายอมรับความผิดพลาดของตัวเองแต่อย่างใด กลับมาเรียกร้องความเห็นใจบอกทำงานเหนื่อย ฝากบอกไว้เลยว่าคุณเหนื่อยอย่างน้อยก็ยังมีเงินเข้ากระเป๋าตอนสิ้นเดือน แต่คนไทยที่ทำมาหากินสุจริตทุกวันนี้ ยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะมีเงินซื้อข้าวกินไหม

เราว่าผู้ประกอบการหลายคนน่าจะเหมือนกันคือ เราจ่ายภาษีนิติบุคคลทุกเดือน แต่ตั้งแต่มีโควิดรอบแรกเรายังไม่เคยได้รับการชดเชยหรือเยียวยาแต่อย่างใด เงินเดือนลูกน้อง ต้นทุนในการ Hold กิจการไว้รอคอยการแก้ปัญหาของรัฐบาลให้เสร็จ แล้วเราจะเดินต่อไป แต่รัฐบาลในฐานะคนจัดการเรื่องนี้กลับทำพังไม่เป็นท่าแถมยังมาสั่งสอน ขู่บังคับ ราวกับพวกเราเป็นไพร่ทาสที่ต้องสำนึกบุญคุณในการเช่าแผ่นดินอยู่ ประทานโทษ ภาษีที่เราจ่ายไปคือการแลกเปลี่ยนบริการทางสังคมที่เราจะต้องได้รับในการมีส่วนร่วมส่งรายได้เข้าแผ่นดิน

ให้ประชาชนมันดิ้นรนกับการเอาตัวรอด จะได้ไม่มายุ่งเรื่องการเมืองการปกครอง ให้กัดกันเองจะได้ไม่สนใจไปตอแยกับผู้มีอำนาจ เหมือนรัฐบาลพบว่าการมีอยู่ของโควิด19 คือทางลัดในการสยบคนไทยลงให้เชื่อง แล้วปกครองโดยความกลัว นี่ก็คิดว่าหรือจะมโนไปเอง แต่การกระทำของรัฐข้อไหนบ้างที่แสดงถึงความห่วงใยประชาชนไทยทุกๆระดับ ทุกๆ มิติ มันไม่เห็นไง

แผนการวางไว้หมดแล้วสำหรับการเดินต่อในช่วงที่ห้ามออกกอง และกักตัวเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในความรับผิดชอบของเรา ใครบอกว่าต้องเริ่มที่ตัวเราขออนุญาตแจกควยด้วยความเคารพ เราให้ความร่วมมือกับรัฐจนเอาตัวรอดมาแบบไม่ติดโรคและออฟฟิศไม่เจ๊ง ครั้งนี้เปนรอบที่ 3

เราเชื่อว่าหลายคนที่เป็นเจ้าของกิจการก็ดิ้นรนไม่ต่างจากเรา ไม่ว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจอะไร ถ้าอยู่ในสภาพเดียวกันก็มาระบายกันได้ พร้อมให้กำลังใจทุกคนที่จะอดทนกับรัฐบาลนี้เป็นรอบสุดท้าย และช่วยกันบันทึกไว้ว่า ทุกชีวิตที่เสียไปจากโรคระบาดครั้งนี้ ผู้ที่ควรรับผิดชอบคือผู้มีอำนาจที่ยังหวงตำแหน่งมากกว่าชีวิตคน ขอให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้แล้วเจอกันวันที่เราไปร่วมขับไล่พวกมัน”

นั่นคือ ความรู้สึก นึกคิดของผู้กำกับหนังชื่อดัง ซึ่งหากพิจารณาดูแล้ว ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยในการที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็มีเรื่องที่น่าวินิจฉัยว่า การแสดงความคิดเห็นที่ออกมานั้นบริสุทธิ์ใจเพียงใด มีข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ เรื่องนี้สังคมน่าจะพิจารณาได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการไปพาดพิงบุคคลอื่นด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคาย ตรงนี้ไม่น่าชื่นชมเลย ยังยิ่งตอกย้ำอย่างคำพูดของเจ้าตัวเองที่ว่า นับจากผู้คนจะเสื่อมศรัทธาคนวงการบันเทิงมากขึ้น!!!

Exit mobile version