สีไม่ทนสหรัฐ-ญี่ปุ่น?!?แถลงกร้าวไม่หวั่นสงครามปะทะ เดินหน้ารวมชาติ ขณะคนไต้หวันตาสว่างขยับค้านสงครามตัวแทน

3197

สำนักพิมพ์ Global Times ได้ออกบทบรรณาธิการช่วงวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ว่ามีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ที่รัฐบาลสหรัฐได้ปรับเปลี่ยนแนวทาง นโยบายทางยุทธศาสตร์ ที่เคยใช้ๆ กันมาประมาณ 42 ปี โดยมีกฎหมาย “Taiwan Relation Act” รองรับเอาไว้ อันถูกเรียกขานกันในนาม “ยุทธศาสตร์แบบคลุมเครือ” (Strategic Ambiguity) ประเภทแอบช่วย แอบสนับสนุนส่งเสริม แอบขายอาวุธต่างๆ ให้กับไต้หวัน เพียงแต่ไม่คิดรับรอง “เอกราชไต้หวัน” แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อสหรัฐอยู่ในมือของปธน.โจ ไบเดนแห่งพรรคเดโมแครต

ก่อนหน้านี้สหรัฐและญี่ปุ่นประกาศที่จะร่วมมือกันต่อต้านอิทธิพลของจีนในทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ การเมือง-การทหาร และเทคโนโลยีแห่งอนาคต

เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์ผ่านระบบวิดีโอคอล มายังที่ประชุม “โบ๋อ๋าว ฟอรัม ฟอร์ เอเชีย” ที่เมืองโบ๋อ๋าว บนเกาะไหหลำ หรือไห่หนาน ทางตอนใต้ของจีน เมื่อวันอังคาร มีเนื้อหาในตอนหนึ่ง ว่าบางประเทศยังคงพยายามสร้างกำแพงและความแตกแยก ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ฝ่ายใด “ประเทศขนาดใหญ่” ในทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ควรประพฤติตัว “ให้เหมาะสมกับสถานะ” ด้วยการ “แบกรับภาระและความรับผิดชอบ” มากกว่าประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าในทุกด้าน ขณะที่การบริหารและขับเคลื่อนกิจการระหว่างประเทศ “เป็นเรื่องของทุกประเทศ” ที่ต้องร่วมมือกันผ่านการหารือตามหลักการทูต นโยบายและมาตรการจาก “เพียงประเทศเดียวและไม่กี่ประเทศ” ไม่ควรมีการยึดถือเป็นบรรทัดฐานของโลก

 

 

หลังจากเมื่อวันที่ 18 เม.ย.2564 สำนักข่าวซินหัวรายงานเรื่อง จีนส่งคำเตือนสหรัฐฯ และญี่ปุ่นอย่างจริงจังให้ ยุติการแทรกแซงกิจการภายในประเทศและการพยายามทำลายการเติบโตของจีนโดยทันที โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุในแถลงการณ์ว่า “เรากระตุ้นเตือนสหรัฐฯ และญี่ปุ่นให้คำนึงถึงความกังวลของจีนอย่างจริงจัง ปฏิบัติตามหลักการจีนเดียว และยุติการแทรกแซงกิจการภายในประเทศและการทำลายผลประโยชน์ของจีนทุกด้านโดยทันที” “จีนจะดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเด็ดขาด”

ถ้อยแถลงของสถานทูตจีนในสหรัฐและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน มีขึ้น เพื่อตอบโต้แถลงการณ์ร่วมของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ที่เผยแพร่หลังการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งมีเนื้อหาระบุประเด็นที่เกี่ยวกับไต้หวัน หมู่เกาะเตี้ยวหยู (Diaoyu Islands) ฮ่องกง ซินเจียง และทะเลจีนใต้อย่างชัดเจน

ทั้งไต้หวันและหมู่เกาะเตี้ยวหยูต่างเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน ขณะประเด็นเกี่ยวกับฮ่องกงและซินเจียงเป็นกิจการภายในของจีน และจีนมีอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้และน่านน้ำโดยรอบอย่างมิอาจโต้แย้งได้

แถลงการณ์ร่วมของผู้นำสหรัฐฯ และญี่ปุ่นเป็นการแทรกแซงกิจการภายในประเทศของจีนและละเมิดบรรทัดฐานการกำกับดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ซึ่งจีนไม่เห็นด้วยและคัดค้านแถลงการณ์ดังกล่าว พร้อมระบุจุดยืนของประเทศผ่านช่องทางทางการทูตแล้ว

สหรัฐฯ และญี่ปุ่นนั้นกำลังร่วมกันสร้างพวกพ้องและโหมกระพือการปะทะด้วยคำกล่าวอ้างถึง “อิสรภาพและการเปิดกว้าง” ซึ่งเป็นการดำเนินการอันผิดยุคผิดสมัยที่สวนทางกับปณิธานสร้างสันติภาพ การพัฒนา และความร่วมมือของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคและพื้นที่อื่นๆ

โฆษกกระทรวงฯ ทิ้งท้ายว่าการดำเนินการเช่นนี้จะทำให้โลกได้เห็นถึงคุณลักษณะอันเป็นอันตรายของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งพยายามบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพภายในภูมิภาค

ด้านสถานการณ์ในไต้หวัน ผู้อยู่อาศัยในเกาะไต้หวันกำลังมีความวิตกกังวลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า ความตึงเครียดข้ามช่องแคบอาจลุกลามกลายเป็นสงคราม โดยผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าการรับรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการเมืองและการทหารกับจีนแผ่นดินใหญ่ย่ำแย่ลง อย่างไรก็ตามผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่หวังว่าจะมีการเจรจาอย่างสันติกับแผ่นดินใหญ่

ในการสำรวจเมื่อปลายปี 2563 สะท้อนภาพความรู้สึกของคนไต้หวัน มี 61 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ที่มีการแข่งขันสูงตึงเครียด และอีก 24 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าความสัมพันธ์กำลังผ่อนคลายลง มีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่าความเป็นไปได้ของสงครามกำลังลดลง นั่นหมายถึงคนส่วนใหญ่มองว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามยังน่าวิตก

สถานการณ์เช่นนี้ สะท้อนความเปราะบางที่จะเกิดการปะทุของสงครามเผชิญหน้า ยิ่งสหรัฐและญี่ปุ่นยั่วยุท้าทายจีนมากเท่าใด การรวมไต้หวันเข้ากับแผ่นดินใหญ่ก็ใกล้เข้ามาเร็วขี้นเท่านั้น เหตุผลของความเป็นไปได้อย่างยิ่งก็คือ

1.เป็นครั้งแรกที่จีนออกแถลงการณ์เตือนสหรัฐและญี่ปุ่นอย่างแข็งกร้าวที่สุด ห้ามแทรกแซงกิจการภายในของจีน ซึ่งมุ่งเป้าหลักคือการแทรกแซงไต้หวัน!!!!

2.ขณะนี้ชาวไต้หวันส่วนใหญ่เริ่มตาสว่าง เห็นภัยสงครามที่กำลังคืบคลานเข้ามาที่ไต้หวัน โดยรู้ดีว่าจีนพร้อมทำสงครามแตกหักแล้ว จึงเกิดกระแสเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไต้หวันเพื่อรวมชาติกับจีนอย่างสันติ ทำลายความพยายามของรัฐบาลไต้หวันที่หวังลากชาติมหาอำนาจเข้ามาคุ้มครองอย่างหนัก ชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

3.การที่จีนซ้อมรบใหญ่และเสริมเเสนยานุภาพทางนาวี การซ้อมยกพลขึ้นบก การเตรียมความพร้อมของกองกำลังขีปนาวุธ กองทัพอากาศ และกองทัพอวกาศ ในขณะที่มีการเตรียมกองเรือรบเล็กกว่า600ลำป้วนเปี้ยนใกล้สมรภูมิไต้หวัน ก่อรูปการประสานกำลังในการรวมไต้หวันเข้ากับจีนโดยทางแสนยานุภาพชัดเจนแล้ว

และด้วยแสนยานุภาพนั้น คาดหมายได้ว่าการยึดไต้หวันอาจเกิดขึ้นโดยฉับพลันและใช้เวลาเพียง2ชั่วโมงเท่านั้น โดยถือว่าเป็นการปราบกบฎภายในของจีนเอง หากต่างชาติดึงดันเข้าแทรกแซง สงครามใหญ่ทางภูมิภาคแปซิฟิก ที่จะปะทุในอณาเขตทะเลจีนใต้ย่อมเกิดขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง ขณะที่พันธมิตรอย่างรัสเซียและเกาหลีเหนือพร้อมประสานแสนยานุภาพรับมือกับการก่อสงครามใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

และเมื่อใดที่การก่อรูปเป็นสงครามใหญ่เกิดขึ้นที่ใด ทั้งแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐ ซาอุดิอารเบียและอิสราเอลก็จะกลายเป็นสมรภูมิอย่างแน่นอนโดยมีกองทัพรัสเซีย อิหร่าน อิรัก ซีเรีย เยเมนและขบวนการปฏิวัติอิสลามทั้งหมดเข้าสู่สงครามในภูมิภาคนั้น!! เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีสรรพกำลังรบและแสนยานุภาพทางทหารที่ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของสหรัฐและพันธมิตรอีกต่อไป

โอกาสที่สงครามเชิงพื้นที่จะลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ไม่อาจมองข้าม

ประเทศไทยในฐานะพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคนี้ หนีไม่พ้นที่ต้องตกอยู่ใต้สถานการณ์เดือด เคียงคู่ไปกับเมียนมาที่สงครามความขัดแย้งภายในประเทศกำลังดำเนินอยู่ภายใต้แผนการแบ่งแยกแล้วปกครองของมหาอำนาจสหรัฐและพันธมิตร ไม่ว่าผลจากการดำเนินการทางการเมืองและการทูตจะเป็นอย่างไร ที่อาเซียนพยายามคลี่คลายด้วยการเจรจาแก้ปัญหา สหรัฐและพันธมิตรตะวันตก ตลอดจนเครือข่ายองค์กร ทุกระดับจะยังคงขับเคลื่อนสร้างภาพ กดดันจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาตร์ครอบโลก