จากสถานการณ์การชุมนุมของม็อบที่ผ่านมาไม่ว่าจะเรียก กลุ่มราษฎร ปลดแอก หรือ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ก็ตาม จะเห็นว่ามีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเรื่อยมา กระทั่งนำมาซึ่งการแสดงออกของบางคน ที่จาบจ้วงผ่านโซเชียลฯด้วย
ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2564 เฟซบุ๊ก ภาคีประชาชน ปกป้องสถาบันฯ ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพถึงเหตุการณ์ ที่ชายคนหนึ่งใช้โซเชียลฯก้าวล่วงสถาบัน ก่อนที่จะมีการดำเนินการต่อมาว่า
เยี่ยม..จัดไป ปฏิบัติการดัดสันดาน คนจาบจ้วง หมิ่นสถาบัน ภารกิจที่ 1 “นักรบองค์ดำ-สองคาบสมุทร” ยุทธการผีเสื้อสมุทร ตามที่ผู้ใช้ FB รายหนึ่ง ได้โพสต์หมิ่นสถาบันฯ จนสร้างความไม่สบายใจแก่ คนรักสถาบันฯ และกลุ่มนักรบองค์ดำ เป็นอย่างมาก
วันนี้ (17 เมษายน 2564) นายสุเมธ ตระกูลวุ่นหนู หัวหน้ากลุ่มนักรบองค์ดำ และนายรักวิทย์ ยินดี หัวหน้ากลุ่มนักรบศรีวิชัยจันทบุรี องค์ดำบูรพาภักดี พร้อมทีมงานฯ นักรบศรีวิชัยสองคาบสมุทรได้ลงพื้นที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เพื่อยื่นหนังสือต่อผู้นำชุมชน ขอให้ดำเนินการทางสังคม ต่อผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าว
ทั้งนี้ได้รับการประสานจาก ผู้นำชุมชน นำตัว..นายตั้ม (นามสมมุติ) มาพบกับทีมงานฯ และเราได้สอบถามถึงสาเหตุ ที่กระทำการมิบังควรเช่นนั้น ซึ่งความผิดต่อ องค์พระมหากษัตริย์ไทย อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
หลังจากได้พูดคุยชี้แจง และทำความเข้าใจกับนายตั้ม ยอมรับว่า เป็นผู้กระทำการดังกล่าวจริง และขอยอมรับผิดทั้งหมด พร้อมทั้งเต็มใจ ทำพิธีขอขมา ขอพระราชทานอภัยโทษ ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
โดย “นายตั้ม” ให้คำมั่นสัญญาว่า จะประพฤติปฎิบัติตน เป็นพลเมืองที่ดี ไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีก อนึ่ง : นายตั้ม อ้างว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า จึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการดำเนินการ ด้วยข้อสงสัยที่ว่าทำไมไม่ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจับกุมตามคดีมาตรา 112 ทำให้ทางเฟซบุ๊ก ภาคีประชาชน ปกป้องสถาบันฯ ได้เข้ามาตอบคอมเมนต์ ชี้แจงว่า
เพิ่มเติม จากในเม้นต์เพจว่า…โพสต์นี้ต้นเหตุ ที่ทำให้เราต้องลงพื้นที่ และคำอธิบาย เพิ่มเติมมีคนมาถามว่า ทำไมถึงไม่แจ้งความ แอดเพจนักรบองค์ดำฯ ได้ตอบว่า
การใช้กฎหมายจัดการไม่ยาก แต่การทำความเข้าใจเรื่องสถาบันฯ ยากกว่ายิ่งนัก เราคนไทยด้วยกัน จะทำร้ายกันเพื่ออะไร เมื่อพูดคุยกันดีๆได้ และการลงพื้นที่ครั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นเตือนให้คนทำผิดกฎหมายได้รู้สำนึก จะได้ไม่กระทำผิดซ้ำอีก
เราไม่ใช่ผู้พิพากษา เราเป็นเพียงประชาชนคนธรรมดากลุ่มหนึ่ง ที่เป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในเมื่อมีโอกาสพูดคุยทำความเข้าใจกันได้ ก็ควรทำไม่ใช่เหรอ?