นปช.แตกเป็นเสี่ยง!! “อานนท์ แสนน่าน” ไม่เอาด้วย ปลุกเสื้อแดง 28,580 หมู่บ้าน สู้เดือด ไล่บี้แผน”จตุพร” พร้อมแฉยับ คนหลอกลวง?

2660

จากกรณีเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 64 นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช. ได้เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวว่า วันที่ 4 เม.ย. 64 เวลา 16.00 น. ขอนัดที่อนุสาวรีย์วีรชนพฤษภา 35 จะมีกิจกรรมพูดคุยแลกเปลี่ยนจัดองค์กร

และระหว่างนี้ต้องเดินสายพูดคุยกับผู้ที่เห็นต่างกันในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ความสามัคคีประชาชน จัดการกับพล.อ.ประยุทธ์ให้อยู่หมัด และหลังจากการหารือวันที่ 4 เมษายน แล้ว เชื่อว่าจะมีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้หากสามารถให้ 3 พรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคภูมิใจไทย, พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา หากถอนจากการร่วมรัฐบาลได้ จะไม่ต้องลงถนน แต่หากหมดหนทางต้องขับไล่พล.อ.ประยุทธ์

ทั้งนี้การกลับมานำม็อบของ นายจตุพร ได้เข้าร่วมกับ “แกนนำม็อบราษฎร” แต่ก็มีข้อกังขาที่น่าจับตา ซึ่งทางฝั่งราษฎร มีแนวคิด 3 ข้อเรียกร้อง ว่าจะต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่, ยกเลิกมาตรา 112, และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลาออก ตรงข้ามกับนายจตุพรที่เรียกร้องเพียงข้อเดียว คือ ไล่นายกฯ ทำให้น่าจับตามองว่า การเคลื่อนไหวในครั้งนี้จมีคนเข้าร่วมมากน้อยเพียงใด ใครจะอยู่ข้างจตุพร และใครจะอยู่ข้างม็อบ 3 นิ้ว

ล่าสุดทางด้านนายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า วันนี้ตนเองออกมาส่งสัญญาณถึงอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงทุกหมู่บ้านของประเทศไทย ที่มีอยู่กว่า 28,580 หมู่บ้าน ว่าอย่าไปหลงเชื่อคำเชิญชวนของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ที่จะเรียกร้องให้ประชาชนออกไปขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งเพราะมักจะใช้วลีเดิม ๆ ที่ว่า ขับไล่รัฐบาลเผด็จการ แต่พรรคพลังประชารัฐ ชนะการเลือกตั้งแล้วเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ

ที่ผ่านมาพวกเรา อดีตหมู่บ้านเสื้อแดง ออกมาต่อสู้ ต้องติดคุก บ้านแตกสาแหรกขาด และ ล้มตาย แล้วกลุ่มแกนนำคนเหล่านี้พวกเขาหนีหายไปไหนกัน เคยได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเรากันบ้างหรือไม่ หากแต่ว่าวันนี้กลับเสนอหน้าออกมาร้องขอกำลังคนเข้าร่วมเพิ่มพูนศักยภาพให้กับพรรคพวก เสียงเรียกร้องของพวกเรามันคงเป็นเพียงเสียงกระซิบที่ผู้หลักผู้ใหญ่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ทำเหมือนหูทวนลมไม่ต้องการรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น หากแต่ว่าวันนี้กลับถามหาอุดมการณ์จากพวกเรามันช่างดูน่าตลกขบขัน และสุดท้ายคนที่สบายคือแกนนำ


คำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประโยคเหล่านี้เราได้ยินกันมาตั้งแต่เราจำความได้ อย่าพยายามเติมเชื้อเพลิงให้คนไทยต้องแตกแยกทางความคิด ไม่ว่าคุณจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่มีวันสำเร็จ แผ่นดินที่เราเกิดและเป็นไทยได้ทุกวันนี้ก็เพราะพระมหากษัตริย์ที่ท่านได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย สิ่งที่เราควรตระหนักคือความจงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่จำเป็นต้องถูกซื้อตัวความจงรักภักดีมันอยู่ในสายเลือด

“พฤติกรรมของคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่มีแนวความคิดที่เปลี่ยนไปการกล้าแสดงออกเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็ดูไม่เหมาะสม คำพูดเป็นนายก็ต่อเมื่อเราลั่นวาจาออกไป อย่าเห็นเป็นเรื่องคะนองปากเพราะเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรพูดจาพาดพิง เห็นผู้ใหญ่หลายคนว่ากล่าวตักเตือนกลับถูกมองเป็นไดโนเสาร์ เต่าล้านปีบ้างก็ถูกมองว่าเป็นสลิ่ม เพราะโลกของเรามันหมุนเร็วเกินไปจนบางครั้งเราเองก็ตามไม่ทัน ถึงคำตอบจะออกมาในรูปแบบใดคนที่มีความคิดเห็นต่างก็ไม่ยอมรับกันอยู่ดี”

จากสถานการณ์ตอนนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่มวลชนที่อยู่กับตนต้องมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับอดีตที่ผ่านมา เราทุกคนเหน็ดเหนื่อยและรู้สึกอ่อนล้าเมื่อต้องพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาบางชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็นบางคนติดคุกบางคนลี้ภัยบางคนหลบหนีคดี ครอบครัวต้องพลัดพรากจากกัน ตนเป็นคนหนึ่งที่ถูกกระทำ แต่ก็ไม่เคยปริปากบอกใคร เพราะรู้ดีว่าเส้นทางสายนี้ตัวเรากำหนดเอง ที่ผ่านมาถือว่าเป็นเพียงฝันร้ายเมื่อลืมตาตื่นชีวิตก็ต้องก้าวเดินไปต่อ