หลังจากที่มีรายงานว่า ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม ในวันที่ 25 มี.ค.นี้
ซึ่งทางด้านเจ้าตัวได้เคลื่อนไหว โพสต์รูปภาพตนเอง พร้อมข้อความ ระบุว่า “ ราตรีสวัสดิ์ ปารีณาพลังประชารัฐ #ปารีณาพักก่อน รู้สึกเศร้า” ซึ่งก็มีผู้คนเข้ามาคอมเม้นต์ให้กำลังใจด้วย
สำหรับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เป็นนักการเมืองชาวไทย เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี เขต 3 และเป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ ชนะการเลือกตั้งมาแล้ว 4 สมัย ปารีณา ไกรคุปต์ เกิดเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2519 เป็นชาวอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
บิดา คือ นายทวี ไกรคุปต์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี มารดาของปารีณา คือ นางสิริบังอร ไกรคุปต์
ปารีณาสมรสกับนายอุปกิต ปาจรียางกูร มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ กล้าเกล้า ไกรคุปต์, อดิศรา ปาจรียางกูร และกิตตรา ปาจรียางกูร ก่อนจะหย่าร้างกันในเวลาต่อมา
ปารีณาเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 3 จังหวัดราชบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 สืบต่อจากบิดา ครั้งแรกปารีณาลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย ต่อมาย้ายไปพรรคชาติไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคพลังประชารัฐ ตามลำดับ
ปารีณาเป็นผู้ทำให้คำว่า “อีช่อ” เป็นที่นิยมในการเรียกพาดพิงพรรณิการ์ วานิช (ชื่อเล่นว่า ช่อ) อย่างกว้างขวางในสังคม แต่ถูกสื่อสังคมวิจารณ์ว่าเป็นการใช้คำหยาบคายว่านักการเมืองจากพรรคอนาคตใหม่พรรคพวกของตน ปารีณาให้เหตุผลว่า “อีช่อ” เป็นคำท้องถิ่นและเป็นคำที่ใช้ในบ้านของตน นอกจากนี้ ปารีณาทำนายว่าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งจะถูกยุบ ทำให้สื่อสังคมคาดเดาไปต่าง ๆ นานา มาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีมีประเด็นกับ “บุ๋ม ปนัดดา” อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้น บุ๋ม ปนัดดา ได้นั่งเป็นรองประธานกรรมาธิการเพื่อร่างกฎหมายเกี่ยวกับโทษข่มขืน แต่ เอ๋ ปารีณา กลับออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึง บุ๋ม ปนัดดา ว่า ข่มขืนเป็นคดีอาญามานานแล้ว และมีการเพิ่มโทษถึงประหารชีวิต
ที่ผ่านมา “เอ๋ ปารีณา” มักออกมาเคลื่อนไหว โต้กลับฝ่ายที่มาโจมตีพรรคพลังประชารัฐ รัฐบาล และพลเอกประยุทธ์ รวมทั้งยังเคลื่อนไหวเปิดหน้าฟาดพวกม็อบ 3 นิ้วมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าตัวรับไม่ได้ ที่ม็อบมีการเรียกร้องและชุมนุมจาบจ้วงสถาบัน
อย่างไรก็ตามเรื่องราวล่าสุดที่ “เอ๋ ปารีณา” เคลื่อนไหวในรัฐสภา คือการโหวตวาระ 3 ที่เจ้าตัวถึงกับลั่นคำแรงว่า “พรุ่งนี้ ใคร walk out คือ หมาที่ดีแต่เห่า แล้วสุดท้ายไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่”
และในคดีรุกที่ป่าสงวน ของ “เอ๋ ปารีณา” มีไทมล์ไลน์ เกิดขึ้นหลังจากที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.)ได้รวบรวมพยานจนมีหลักฐาน เข้าข่ายการกระทำความผิด “4 ข้อหา” ประกอบไปด้วย
1. ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 และ 31 ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
2. ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
3. ความผิดตามประมวลกฎหมายฐาน กระทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน บริเวณที่มีการประกาศหวงห้าม หรือ ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดิน โดยกระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่าห้าสิบไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต
และ 4.ความผิดตาม พ.ร.บ.น้ำบาดาล พ.ศ.2520 ร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดิน ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต
ก่อนที่บก.ปทส.จะยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาไต่สวนจริยธรรมกระทั่ง ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดจริยธรรมร้ายแรงในท้ายที่สุด ซึ่งในวันที่ 25 มี.ค. 64 นี้ “ปารีณา” ยังต้องไปลุ้นด่านสุดท้ายนั่นคือ “คำพิพากษาศาลฎีกา” ซึ่งเป็นเสมือน “ด่านชี้ชะตา” ว่าจะ”รอด”หรือ “ร่วง”