ยังคงเดินหน้าอย่างไม่สิ้นหวังในการแก้เกมเรื่องรัฐธรรมนูญ สำหรับ “พรรคเพื่อไทย” ที่แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีส.ส.เพื่อไทย 26 คน ที่ไม่ยอมขานมติใดในการโหวตวาระ 3 แต่ก็ไม่อาจทำให้จุดยืนหลักของพรรคล้มเหลว
โดยก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ยังเปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้นหากจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา พรรคเพื่อไทยจะต้องหารือกันภายในก่อน โดยมีอยู่ประมาณ 4 ประเด็นที่พรรคต้องการแก้ไข ประกอบด้วย
1. การเเก้ไขมาตรา 272 ยกเลิกอำนาจ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และให้เพิ่มเติมมาตรา 159 โดยการเลือกนายกฯ สามารถเลือกนอกบัญชีได้ แต่ต้องเป็น ส.ส. เท่านั้น เพื่อปิดทางนายกฯ คนนอก 2.แก้ไขมาตรา 270 ยกเลิกอำนาจ ส.ว.ในการปฏิรูปประเทศ และมาตรา 271 เกี่ยวกับการไม่เห็นชอบหรือแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายฯ
3. การยกเลิกมาตรา 279 รองรับคำสั่ง และการกระทำของ คสช.
และ 4.การแก้ไขระบบเลือกตั้ง ซึ่งเพื่อไทยได้รับผลกระทบอย่างเต็ม ๆ จนทำให้พรรคไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยให้ยกเลิกมาตรา 88, 83, 85, 90, 91 และ 94 และกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 โดยใช้บัตร 2 ใบเลือกคน และเลือกพรรคแทน
ต่อมาทางด้านพล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกคว่ำลงไปนั้น แก่นของปัญหาเกิดจากการสมคบคิดของสมาชิกรัฐสภาที่ไร้อุดมการณ์ และองค์กรอิสระบางคนที่ขาดความชอบธรรม คนกลุ่มนี้ยินยอมให้ขบวนการสืบทอดอำนาจต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ยั้งยืนยง ที่พรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว.แสดงในรัฐสภาเป็นเพียงแสดงละคร ถึงบอกว่าจะเร่งหาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญในรูปแบบอื่น แต่ประชาชนรู้เท่าทันไม่เชื่อถือแล้ว เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นระเบิดเวลา ผนวกกับการชุมนุมขับไล่นายกฯของกลุ่มราษฎร นับแต่นี้ไปเราจะได้พบกับการรวมพลังออกมาขับไล่นายกฯแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนเซลล์ไร้ยางอายของนายกฯผลิตไม่ทัน ต้องพ่ายแพ้ต่อพลังประชาชน และพ้นจากตำแหน่งไปในที่สุด
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเริ่มต้นได้จาก 2 ประเด็น คือ แก้เพื่อให้สภาฯเป็นผู้ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ และแก้ไขระบบเลือกตั้งให้เป็นธรรมและไม่ซับซ้อน กลับไปใช้ระบบสัดส่วน และบัตร 2 ใบที่เคยใช้มาก่อน ถ้าแก้ใน 2 ประเด็นนี้สำเร็จจะทำให้กติกาเป็นธรรมขึ้น มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทำให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้นแม้งานข้างหน้ายังยาก แต่การทำเพื่อบ้านเมืองและคนไทยทุกคนก็ต้องเดินหน้า และเหลือเวลาไม่เกิน 2 ปีต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เชื่อว่าพฤติกรรมและความจริงใจของแต่ละพรรค จะเป็นปัจจัยในการตัดสินใจ ประชาชนจำได้ว่าใครพูดและทำอะไรไว้
ส่วนทางด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกลุ่มสร้างไทย อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกความเห็นถึงเรื่องนี้ กล่าวว่า เสียดายที่ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพิ่งล้มไป ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร ยังคิดไม่ออกว่าการเสนอแก้ไขเป็นรายมาตราจะเดินหน้าอย่างไร เพราะกระบวนการต่าง ๆ
ที่เดินกันมาจนถึงวาระ 3 ต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่ต้องคิดกันคือ การยอมรับของประชาชน ส่วนที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุเตรียมพูดคุยกับพรรคเพื่อไทย และ ส.ว.เพื่อเดินหน้ายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรานั้น “อย่าไปหวังกับคนชื่อไพบูลย์ เพราะเขาทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจให้กับผู้สืบทอดอำนาจ”
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ จะพุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์ของพรรค หลังจากมองว่า การเลือกตั้งแบบบัตร 1 ใบ ทำให้เป็นการยากที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะครองเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา ที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ ซึ่งการเชียร์ให้แก้รธน.รายมาตราของเพื่อไทย อยากให้เปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง แบบบัตร 2 ใบ ที่ทำให้เลือกได้ทั้งพรรค และส.ส.เขต ไปพร้อม ๆ กัน เพราะเพื่อไทยยังหวังว่า การเลือกตั้งแบบระบบนี้ จะทำให้พรรคของตนเอง กลับมามีชัยชนะอีกครั้ง