จากกรณีที่ทางกรมราชทัณฑ์ได้แจ้งความดำเนินคดีกับแอดมินเพจ “อานนท์ นำภา” ไปก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง และจะแจ้งความเพิ่มอีก เพื่อสืบหาว่า แอดมินโพสต์ข้อความจากที่ไหน” เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวโพสต์ข้อความอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เปิดเผยว่า ได้มีการค้นตัวบรรดาแกนนำทั้งขาไปและขากลับ ในเวลาที่ต้องเบิกตัวไปยังศาล รวมถึงการเยี่ยมญาติ หากจะฝากสิ่งของเข้ามาหรือออกจากเรือนจำจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเรือนจำ ดังนั้น จดหมายของนายอานนท์ ไม่ได้นำออกไปจากเรือนจำ และในเรือนจำไม่มีเครื่องมือสื่อสาร แม้แต่นาฬิกาก็ไม่มี
และทันทีที่มีข่าวว่ากรมราชทัณฑ์จะแจ้งความเพิ่มกับแอดมินที่โพสต์ข้อความให้อานนท์ ในเฟซบุ๊กของอานนท์ นำภา ก็ได้โพสต์ข้อความว่า “จับอานนท์ไปแล้ว ยังพยามจะจับแอดมินอีก เราไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ” ซึ่งมีใช้ถ้อยคำจาบจ้วงไปถึงในหลวงร. 9 ด้วย ทำให้ต้องมีการจับตาอย่างเข้มงวดว่า มีใครคอยส่งข่าวและข้อมูลภายในเรือนจำ นำเรื่องราวของขบวนการแกนนำมาเปิดเผยหรือไม่
ทั้งนี้มีจุดที่น่าสังเกตอีกว่า โพสต์ล่าสุดของเพนกวิน และอานนท์ เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งแอดมินคนโพสต์ มีความเป็นไปได้ ว่าน่าจะเป็นคน ๆ เดียวกัน
สำหรับกฎระเบียบการขอเยี่ยมผู้ต้องขัง ญาติสามารถเข้าได้ในวันจันทร์ -ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น. โดยไม่มีการหยุดพักกลางวัน
เพื่อเป็นการบริการประชาชน และในวันเสาร์ในเยี่ยมผู้ต้องขังชาย ตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น. ในวันอาทิตย์ให้เยี่ยมผู็ต้องขังหญิง ตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น.
อย่างไรก็ตามเรื่องเครื่องมือสื่อสาร ในเรือนจำ ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องจี้ให้มีการตรวจสอบ เนื่องจากอดีต เคยมีเหตุการณ์ “มือถือเกลื่อนคุก” มาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่าแกนนำคณะราษฎร ผู้ต้องขัง VIP อาจมีโทรศัพท์ใช้ส่วนตัว? เนื่องจากมีการรายงานไปยังแอดมิน ให้โพสต์ข้อความต่าง ๆ รวมทั้ง การโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเพนกวิน และอานนท์ เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน อาจจะต้องมีการสื่อสารก่อนโพสต์ จึงเป็นจุดที่น่าสงสัยว่า มีคนคอยส่งข่าว หรือบรรดาแกนนำมีการใช้โทรศัพท์มือถือ
ซึ่งเมื่อปี 2555 เรือนจำอุบลฯ ได้รายงานผลการตรวจความเรียบร้อยของเรือนจำ และพบยาบ้ากว่าพันเม็ด และมือถือ 31 เครื่องโยนข้ามกำแพงเข้าเรือนจำ , และในปีเดียวกัน ที่เรือนจำจังหวัดตรัง ได้มีรายงาน จับ 2 โจ๋ คาหนังคาเขาขณะขว้างมือถือเข้าเรือนจำ โดยยังสารภาพ ว่ารับจ้างเที่ยวละ 10,000 บาท นอกจากนี้ยังมีเบาะแสจากแหล่งวงในของวงการค้ายา ระบุด้วยว่า “การใช้เครื่องมือสื่อสารออกมาจากในคุก มีมานานกว่า 10 ปี และถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จากเรือนจำจะกวาดล้างเข้มงวดขนาดไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าโทรศัพท์เหล่านี้จะไม่หลุดรอดไปสู่มือผู้ต้องขัง โดยเฉพาะนักโทษคดียาเสพติด”
ที่ผ่านมาจะมีข่าวการกวาดล้างจับกุมแก๊งค้ายาหลายราย ซึ่งนอกจากจะกวาดล้างบรรดานักค้ายาเสพติดทั้งรายใหญ่รายย่อยแล้ว ยังเข้มงวดไปถึงนักโทษในเรือนจำ โดยเฉพาะเรือนจำเขาบิน จ.ราชบุรี และเรือนจำใหญ่ ๆ จะใช้โทรศัพท์มือถือจากในคุก เพื่อค้ายาเสพติดหรือกระทำในสิ่งผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศชัดเจนว่า กำลังจับตาดูพฤติกรรมลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปใช้ใน เรือนจำ มีทั้งแบบเก่าและแบบทันสมัย แต่ราคาขายสูงลิบ โดย โทรศ์พท์ “ไอโฟน” – ซัมซุงรุ่นต่าง ๆ ที่นิยมใช้กันมาสักระยะหนึ่ง”