จากกรณีที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กลายเป็นนักโทษหนีคดี ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์
ระบุว่า
“ผมมีโอกาสเดินทางกับคุณพ่อ
ไป ตปท. ตอนเป็นนายกหลายครั้ง
เพิ่งจะมีโอกาสได้ฟังเทคนิคการเจรจาระดับสูงจากพ่อ ตอนมาฟังคลับเฮ้าส์พร้อมๆกับ Tony’s FC วันนี้เอง
ฟังแล้วก็คิดถึง และเสียดายหลายๆอย่างที่เราย้อนเวลาไม่ได้
เพื่อนๆหล่ะครับ เสียดายโอกาสของประเทศไทย ที่หายไปกันบ้างหรือเปล่า?”
นายพานทองแท้นั้นมักจะเพ้อคุณสมบัติของพ่อตัวเองสมัยยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่เสมอ ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่นายพานทองแท้ไม่เคยพูดถึงว่าพ่อได้สอนไว้หรือเปล่า คือวิธีการคดีออกนอกประเทศแบบเนียน ๆ หน้าตาเฉย เพราะนายทักษิณน่าสอนให้กับน้องสาวสุดรักอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐตรีหญิงที่ต้องหนีคดีออกนอกประเทศตามพี่ชายไปอีกคน ทั้งนี้ หากพ่อของนายพานทองแท้ไม่ได้สอนไว้ก็ไม่เป็นไร เพราะสำนักข่าวเดอะทรูธ ได้ย้อนรอยเส้นทางนักโทษหนีคดีอย่างทั้งสองนายกพี่น้องมาให้เรียบร้อยแล้ว
โดยนายทักษิณ ชินวัตร นั้นหลบหนีคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกตั้งแต่ปี 2551โดยทำหนังสือขออนุญาตศาลฎีกาฯ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจประเทศจีนและญี่ปุ่น และไม่กลับมาอีกเลย โดยก่อนหน้านั้น 1 ปี 5 เดือน นายทักษิณ ชินวัตร ต้องออกจากประเทศไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ หลังถูกปฏิวัติรัฐประหารนำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะ คณะปฏิรูปการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติย์ ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ปี 2549
เมื่อนายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ก้มลงกราบแผ่นดิน จากนั้นได้เข้ามอบตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีตกเป็นจำเลยในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ร่วมกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ซึ่งศาลอนุมัติให้ประกันตัว
ระหว่างนั้นทั้ง 2 คน ได้ขออนุญาตศาลฎีกาฯ เดินทางออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลเดินทางไปปฏิบัติภารกิจประเทศจีนและญี่ปุ่น โดยระบุวันเดินทางระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 10 สิงหาคม 2551 ในรายละเอียดคุณหญิงพจมาน ให้เหตุผลขอเดินทางไปร่วมพิธีเปิดงานกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศจีน ระหว่างในวันที่ 5-10 สิงหาคม 2551
และเมื่อถึงวันนัดให้ไปรายงานตัวต่อศาลวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ทั้งสองคน ไม่มารายงานตัวต่อศาล แต่ไปปรากฎตัวที่ประเทศลอนดอนพร้อมครอบครัว วันที่ 21 ตุลาคม 2551
ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาลับหลัง ตัดสินให้จำคุกนายทักษิณ 2 ปี ส่วนคุณหญิงพจมาน ยกฟ้อง รวมระยะเวลาที่นายทักษินหนีคดีจนถึงปัจุบันคือ 12 ปี
ขณะที่ทางด้านของนางสาวยิ่งลักษณ์ลำบากกว่านายทักษิณนิดหน่อย เพราะต้องหลบหนีออกจากประเทศอย่างลับๆ โดยสำนักข่าว “เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์” ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยทางสำนักข่าวดังกล่าว ระบุว่าได้เอกสารที่ยืนยันได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ใช้หนังสือเดินทางของประเทศกัมพูชา เดินทางออกจากประเทศไทยและต่อไปยังประเทศที่สาม หลังจากหลบหนีคดีรับจำนำข้าวที่ประเทศไทย
จากข้อมูลของสำนักข่าวดังกล่าว นำมาประกอบกับข้อมูลเดิมจากชุดสืบสวนถึงเส้นทางการหนีออกประเทศของ นางสาวยิ่งลักษณ์ อาจจะมีความเป็นไปได้อย่างมากว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ใช้เส้นทางหลบหนีผ่านทางประเทศกัมพูชา
หากย้อนข้อมูลไปดูรายงานจากชุดสืนสวน ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 60 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้สวมหมวกสีดำ ใช้หน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าพร้อมเลขาส่วนตัว นั่งรถยนต์เมอร์สิเดสเบนซ์ออกจากบ้านพัก เพื่อไปพบกับ “พลตำรวจเอก” นายหนึ่ง ที่ขับรถยนต์ตราโล่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มารอพบที่บริเวณ ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านวัชรพล ก่อนจะมีรถ 2 คันมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชัยพฤกษ์ ก่อนที่รถทั้ง 2 คันจะหายเข้าไปภายในบ้านพักของพ.ต.อ.คนดังกล่าว
ต่อมานางสาวยิ่งลักษณ์พร้อมเลขาฯ และ”พ.ต.อ.” ได้ขับรถยนต์โตโยต้าแคมรี่ออกจากหมู่บ้าน ไปมีนบุรี ใช้ถนนสุวินทวงศ์ มุ่งหน้า อ.พนมสารคาม อ.เขาหินซ้อน ไปยังจ.สระแก้ว ก่อนถึงอ.อรัญประเทศประมาณ 22.00 น. ก่อนไปสิ้นสุดที่บริเวณใกล้เคียงสถานีรถไฟอรัญประเทศ โดยมีรถกระบะสีทึบสี่ประตูเปิดไฟฉุกเฉินรออยู่ และมีชายร่างสูงใหญ่นำตัวนางสาวยิ่งลักษณ์พร้อมเลขา ขึ้นรถกระบะ ออกจากจุดนั้น
หากดูจากรายงานของชุดสืบสวน จุดสุดท้ายที่นางสาวยิ่งลักษณ์และเลขา หายตัวไปคือบริเวณชายแดนอรัญประเทศ ซึ่งติดกับประเทศกัมพูชา และจากจุดนี้นางสาวยิ่งลักษณ์และเลขา จะใช้เส้นทางธรรมชาติหลบหนีออกไปจากประเทศไทย
จากนั้นมีรายงานข่าวออกมาอีกว่าเมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ เดินทางผ่านไปทางประเทศกัมพูชาแล้ว ก็ได้เดินทางต่อไปยังประเทศสิงคโปร์เพื่อพบกับนายทักษิณพี่ชายและเดินทางพร้อมกันไปยังนครดูไบ
ทั้งมีบางรายงานข่าว ระบุว่านางสาว ยิ่งลักษณ์ ใช้เส้นทางอื่น โดยใช้เส้นทางน้ำในการหลบหนีออกนอกประเทศ แต่ไม่ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ จะใช้เส้นทางใด สิ่งหนึ่งที่ระบุตรงกัน คือ ล้วนมุ่งหน้าไปยังประเทศกัมพูชาทั้งสิ้น
จากวิธีการหลบหนีของทั้งสองอดีตนายกฯ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า พ่อและอาของนายพาทองแท้ได้สั่งสอนหรือไม่ ว่าถ้าหากทำผิดกฎหมายคดโกงประชาน จะต้องหนีคดีออกจากประเทศด้วยวิธีไหน วิธีของพ่อหรือของอาดีกว่ากัน!?