นายอัษฎางค์ เทียบชัด ๆ ให้เห็นภาพไปเลย ธนาธร กับ พล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างหนุ่มชื่อเสีย พกเหล้าไปเรียน กับ ด.ช.คะแนนดี นี่คือการตอกย้ำตัวตนแท้จริงไม่เปลี่ยนไปตามเวลา
นายอัษฎางค์ ยมนาค โพสต์ข้อความเอาไว้ว่า ธนาธรเดอะซีรี่ย์ ตอนที่ 1 “Portrait ธนาธร” Vs “ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีเด็ก ๆ ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ชอบฟังคนเป่าหู แล้วจับเอาธนาธร กับ ลูงตู่ มาเทียบกัน ว่า ธนาธรเรียนเก่งกว่าลุ่งตู่ แล้วบอกว่า จปร. เข้าง่ายเรียนง่ายกว่า ธรรมศาสตร์อินเตอร์ที่ธนาธรเรียนมา
ลองอ่านคำให้การจากปากธนาธรดูหน่อยมั้ย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก่อนก้าวเข้ามาสู่ถนนการเมือง “ตั้งแต่เด็กจน ม.3 ผมเรียนปานกลาง ไม่มีวิชาไหนโดดเด่น ไม่มีวิชาไหนที่เหี้…” เขาพูดเช่นนั้น
“ในช่วง ม.ต้น เกรดเฉลี่ยของเขาได้ 2.5 ไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้ ก่อนที่มันจะดิ่งลงเมื่อขึ้นสู่ ม.ปลาย และมหาวิทยาลัย”
“พอ ม.4 เริ่มรู้ว่าการเรียนไม่ตอบสนองอะไรกับชีวิต ตั้งแต่นั้นก็เกือบตกมาตลอด 2.1 / 2.0 จนมหา’ลัย ก็แบบเดิม ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธากับระบบการศึกษาไทย ไม่เข้าห้องเรียน”
“ในรุ่นผม น่าจะหาได้น้อยคนมากที่โดดเรียนเยอะกว่าผมทั้ง ม.ปลาย และมหา’ลัย” โดดเรียนไปตีสนุ้กฯ หรือไม่ก็เล่นเกม หากวันไหนเข้าห้องเรียน ซึ่งไม่มากนัก เขาก็จะไปนั่งหลับในห้อง หลับทั้งวัน ไม่มีครูคนไหนอยากไปข้องแวะด้วย
ขณะที่ชีวิตในมหาวิทยาลัย เขาหมดเวลาไปในร้านเหล้ามากกว่าเข้าเรียนเช่นเคย หนักเข้ากว่านั้นคือพกเหล้าไปกินในมหาวิทยาลัย ในแวดวงของคนไม่เอาไหน ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ คือคนที่มี ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ชื่อเสีย’ ในเวลาเดียวกัน กระทั่งมีจุดเปลี่ยนเล็ก ๆ ที่เขาพูดทีเล่นทีจริงว่า ทำให้ชีวิตบัดซบมาจนถึงวันนี้
ขณะเรียนปี 1 สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาได้เจอกับรุ่นพี่ที่ทำสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และ องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ผู้คนรายรอบเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมความคิดบางประการให้กับเขา
บทสนทนาระหว่างเพื่อน หนังสือที่ได้อ่าน ยิ่งทำให้ความคิดถูกกะเทาะและขัดเกลาในเวลาเดียวกัน ขณะที่การไปออกค่ายก็ช่วยเปิดโลกใบใหม่ให้เขารู้จักประเทศไทยที่อยู่ห่างไกลจุดศูนย์กลางมากขึ้น
กิจกรรมดี แต่การเรียนยังย่ำแย่เช่นเคย แย่ถึงขั้นที่เขาบอกว่า ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เพื่อนทำการบ้านให้ ในห้องสอบก็ยังต้องลอกเพื่อน “ขนาดลอกยังตก” เขาเล่าและหัวเราะ “ผมแม่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“มีวิชาหนึ่ง ผมจำได้ เทอร์โมไดนามิกส์ เข้าไป ผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่รู้อะไรสักอย่าง น้ำไหลเท่าไร เครื่องสูบน้ำเท่าไร ข้อสอบแบบนั้น เข้าไป ผมนั่งวาดรูปโจทย์ วาดสวยด้วยนะ มีปั๊มน้ำ ท่อน้ำ วาดสวย แต่ไม่ได้ตอบ เพราะไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ครูให้ผมสิบกว่าแต้มมั้ง ค่าวาดรูป (หัวเราะ) แม่บอกว่าไปเรียนเมืองนอกเถอะ เอาให้จบ”
แม่ไม่ได้พูดเปล่า แต่พูดทั้งน้ำตา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาไม่มีทางเรียนจบ มันจึงเป็นการบังคับโดยอ้อมให้ต้องร่ำลาเพื่อนสนิทมิตรสหายก่อนบ่ายหน้าไปเรียนที่อังกฤษ กระนั้น ห้องเรียนในเมืองผู้ดียังเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับเขาเช่นเคย ธนาธรเข้าห้องเรียนน้อย แต่ที่มากขึ้นอย่างบ้าคลั่งคือการอ่านหนังสือ ซึ่งนิสัยการอ่านเช่นนี้ติดตัวมากระทั่งถึงนาทีปัจจุบัน
วัยหนุ่มของเขาหมดไปกับการทำงาน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด ออกกำลังกายน้อย กระทั่งอายุ 30 ปี ร่างกายก็ทวงคืน
“หมอนรองกระดูกผมปลิ้น มันไปกดทับเส้นประสาท จะเดินเข้าห้องน้ำยังทำไม่ได้ ผมคลานไป เป็นแบบนี้อยู่ประมาณเดือนหนึ่ง กว่าจะเริ่มเดินได้ หมอบอกว่าร่างกายคุณมันไม่ไหวแล้ว
“ก่อนหน้านั้น หลายปีก่อน ผมถ่ายเป็นเลือด คือเข้าห้องน้ำร้อยครั้ง เก้าสิบห้าครั้งมีเลือดปนมาด้วย และทุกเช้า มีร้อยเช้า ผมว่าเก้าสิบแปดเช้าที่ตื่นมาแล้ว จมูกหายใจไม่ออกหนึ่งข้าง พอสั่งขี้มูกออกมาก็มีเลือดติดมาด้วย ในร้อยเช้า ผมว่ามีเก้าสิบกว่าเช้าที่เป็นแบบนี้
ตัดฉากย้อนเวลาไปยาวนานกว่านั้นอีกนิดกับชีวิต อดีต ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในความทรงจำ”
เอกสารใบสุทธิมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของเด็กชาย ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุว่า สอบได้คะแนนดีมาก ความประพฤติเรียบร้อย สุขภาพแข็งแรง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เคยลงสัมภาษณ์ ในคอลัมน์ เรียนดี นิตยสารชัยพฤกษ์ ของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช เมื่อปี 2512 (45 ปีที่แล้ว) ระบุว่า ตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งไม่เคยได้เกรดต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
ถือว่าได้รับการกล่าวขานว่า เป็นผู้เรียนดีคนหนึ่งของประเทศ จนกองบรรณาธิการ ‘ชัยพฤกษ์’ ฉบับที่ 4 ปักษ์หลัง ก.พ. 2512 ต้องบันทึกเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ไว้ในคอลัมน์ ‘เรียนดี’ ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 15 ปี
พล.อ.ประยุทธ์ บอกเล่าผ่านนิตยสารฉบับดังกล่าวว่า ใช้เวลาส่วนใหญ่ทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ถึงขนาดอ่านทวนซ้ำหลายรอบเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
โดยในช่วงเวลานั้นชีวิตหมดไปกับหนังสือ ในวันหยุดจะไม่มีใครเห็นท่านวิ่งเล่นเหมือนที่เด็กรุ่นเดียวกันทำกัน ท่านดูหนังสือแบบทวนตั้งแต่ต้นจนจบแล้วขึ้นทวนใหม่ ทำเช่นนี้หลาย ๆ หน ก็จำวิชาที่เรียน และเข้าใจวิชานั้น ๆ อย่างถ่องแท้ เมื่อติดขัดไม่เข้าใจวิชาอะไร ท่านก็ถามพี่ ๆ ที่บ้าน
ในวันธรรมดาใช้เวลาทวนวิชาเรียนตอนหลังอาหารเย็น ไปจนถึงสี่ทุ่มจึงจะเข้านอน ตอนเช้าไม่มีเวลาดูหนังสือเพราะต้องรีบไปโรงเรียน โดยท่านประยุทธ์ในวัยเด็กนั้นบอกว่าดูหนังสือจนถึงสี่ทุ่มก็พอแล้ว เพราะเขาดูอย่างสม่ำเสมอ จึงไม่ต้องรีบร้อนดูตอนระยะใกล้สอบ
ส่วนบุคลิกแม้จะเป็นคนขรึม แต่เป็นคนมีน้ำใจ เมื่อกลับจากโรงเรียน มักจะช่วยพี่น้องทำงานบ้านทั่วไป กิจกรรมที่ทำเมื่อรู้สึกเมื่อยล้าจากการดูหนังสือ จะดูทีวี โดยชอบดูหนังญี่ปุ่น และหนังสารคดีต่างประเทศ
หน้าตาของคนเราเปลี่ยนไปตามวัย บุคลิกการแต่งตัวของคนเราเปลี่ยนไปตามวัย การพูดจาของคนเราเปลี่ยนไปตามวัย แต่ตัวตนของใคร ก็เป็นของคน ๆ นั้น ไม่มีวันเปลี่ยน