จากกรณีที่เมื่อวานนี้ 5 มีนาคม 2564 มีรายงานเปิดเผยว่าขบวน“เดินทะลุฟ้า” เดิน 247.5 กิโล จากโคราช-กรุงเทพฯ เพื่อขับไล่รัฐบาล และเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำคณะราษฎร 4 คน
ที่โดนคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นำโดย นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน พร้อมด้วยแนวร่วมกลุ่ม People GO network มีผู้เข้าร่วมเดิน กว่า 100 คน โดยทั้งหมดเส้นทางจากวัดคุณหญิงส้มจีน ไปจนถึง ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต มีการถือธงแดง พร้อมข้อความต่างๆ เช่น รัฐสวัสดิการแบบทั่วหน้า เราไม่ต้องการรัฐสวัสดิการแบบชิงโชค ,ปล่อยเพื่อนเรา และต้องไม่เจ็บเพิ่ม ,ลดความเหลื่อมล้ำ คืนความเป็นธรรมให้ประชาชน โดยการเดินจะแวะพักทุกๆ 4 กิโลเมตร สำหรับวันนี้ เส้นทางเดินทางทั้งหมดรวมกว่า 26 กิโลเมตร
ขณะที่ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส. ศิวรักษ์ นักคิด สมญานาม ปัญญาชนสยาม ได้เข้าร่วมเดินทะลุฟ้าด้วย ซึ่งช่วงหนึ่งระบุว่า รัฐบาลไหนที่ไม่ให้พูดอย่างอิสระเสรีรัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลอัปรีย์ เป็นรัฐบาลจัญไร เช่น รัฐบาลของประยุทธ เป็นต้น เพราะฉะนั้นการที่ท่านทั้งหลายออกมาเดินขบวนขอให้เดินขบวนด้วยสันติอดทนเพราะว่าเราจะต้องเอาชนะพวกทรราชให้ได้ แม้ว่าประยุทธจะอ้างว่าไม่ได้เป็นเผด็จการแล้ว อ้างเป็นประชาธิปไตยแล้วก็เป็นประชาธิปไตยที่จอมปลอม
“ขบวนการของเราอาจจะไม่ใหญ่โตไม่มาก แต่ทุกคนที่มาร่วมมีธรรมมะเป็นพื้นฐาน อย่าลืมว่าสมัยนี้เราทำอะไรทั่วโลกรู้หมดเลย เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าเราจะมีจำนวนน้อย คนจำนวนน้อยคือคนที่ต้อสู้ เสียสละด้วยความยินดีเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนทั้งหลายตนเองเอาใจช่วย ขอให้เดินทางด้วยความอดทน อัปรีย์จะต้องไปจังไรจะต้องแพ้ ส่วนประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ นายสุลักษณ์กล่าวว่า จะแก้ได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนเข้าไปร่วม ปล่อยให้พวกเนติบริกรแก้อย่างเดียวไม่ได้” ส.ศิวรักษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามล่าสุด ปราชญ์ สามสีได้ โพสต์ข้อควความผ่านเฟซบุ๊กถึง ส. ศิวรักษ์ ระบุว่า
“หากได้มีโอกาส อ่านหนังสือ Exclusive Intelligence Review (EIR) โดย Lyndon H. Larouche jr อันเป็นหนังสือวารสารทางการเมือง ในสหรัฐอเมริกา ที่เก่าแก่ประมาณหนึ่ง
ในฉบับ ที่19 ปี ค.ศ. 1992 กับพากดหัวน่าสนใจว่า”USAID. Run Anti-U.S. coup in Thailand” ซึ่งก็แปล ตรงตัวว่า “สหรัฐฯให้ทุนสนับสนุน กลุ่มต่อต้านสหรัฐฯ รัฐประหาร ในประเทศไทย”
ยิ่งฟังพาดหัวแล้วยิ่ง “ใช่” เลยใช่ไหมละครับ!!
โดยในฉบับนี้จะมีการพูดถึงประวัติของ ส.ศิวรักษ์ ไว้อย่างน่าสนใจ โดยให้สมญานาม “ญากองแบงค์ ในประเทศไทย” ( jacobin คือ พวกที่ปฎิวัติฝรั่งเศสจนตัดหัวพระเจ้าหลุยที่16นั้นแล)
ตาเฒ่าสุลักษณ์ ถูกเปิดเผยว่า เขาได้รับการสนับสนุนสำคัญจากมูลนิธิ NGOs หลายแห่งที่ได้รับเงินสนับสนุนโดยสหรัฐ มาตั้งแต่ ปี1992 โดยปรากฏ ชื่อองค์กร ทั้งเก่าและใหม่ อย่างเช่น Freedom House ที่ได้การสนับสนุน จาก สหรัฐฯ และ เงินทุนชาวยิวอย่างโซรอส
ยังมีชื่อ Amnesty international ซึ่งถูกเปิดเผยว่าเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มาสนับสนุน ส.ศิวรักษ์ ในการหนุน พลตรี จำลอง ศรีเมือง โจมตี สุจินดา ในเวลานั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือการระบุจุดกำเนิดขององค์กรนี้ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1961 โดยสายลับอังกฤษ
และยังมีองค์กรทางกฏหมาย อย่าง Lawyers Committee for Human Right ซึ่งได้เงินมาจาก”หลายแห่ง” ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ ส.ศิวรักษ์ ในการ #โจมตีพระมหากษัตริย์ เพื่อที่จะใส่ความบนเวทีโลกว่า การนิรโทษกรรม อดีต นายกฯ สุจินดา ของ รัชกาลที่ ๙ นั้นเป็นเรื่องผิดกฏหมายระหว่างประเทศ
ยิ่งอ่านก็จะยิ่งเข้าใจถึงบทบาทของภัยจากต่างประเทศในคราบ NGOs ที่ส่งงบประมาณมาให้ #คนไทยฆ่ากันเอง เขาทำกันมาตั้งแต่ปี1992 หรือก่อนหน้านี้
นี่มันปี1992 แต่เหมือนปัจจุบันฯ ยังไงยังงั้น
ยิ่งอ่านยิ่งแซ่บ พบ เหี้ยโบราณ ผู้ทำลายชาติ ตัวเป็นๆ “ส.ศิวรักษ์”
—————
“ป สามสี””
ขณะเดียวกัน วันนี้ 6 มี.ค. 64 ทางด้านแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ออกแถลงการณ์ โดยมีเนื้อหาระบุว่า เรียกร้องไทยปล่อยตัวผู้วิจารณ์อย่างสงบและลดความตึงเครียดท่ามกลางการประท้วงอย่างต่อเนื่องรอบใหม่
เกือบหนึ่งปีหลังประกาศใช้พระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ประท้วงหลายร้อยคนรวมทั้งเยาวชน 13 คน ถูกดำเนินคดีอาญา ในขณะที่แกนนำผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดียังถูกควบคุมตัวต่อไป ประชาชน 61 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ คาดว่าจะมีการประท้วงครั้งใหญ่ในวันนี้
แถลงการณ์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า ในขณะที่การประท้วงในประเทศไทยเริ่มเข้มข้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทางการต้องลดแนวทางตอบโต้ที่รุนแรงอย่างเร่งด่วน และยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ชุมนุมโดย
ผู้ชุมนุมโดยสงบหลายร้อยคนรวมทั้งเยาวชน ถูกดำเนินคดีอาญา และหลายคนถูกควบคุมตัวมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ และคาดว่าจะมีการประท้วงครั้งใหญ่อีกครั้งในวันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2564
การกลับมาประท้วงใหญ่เริ่มขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ส่งผลให้ทางการใช้กำลังจนเกินขอบเขตเพื่อตอบโต้ รวมทั้งการใช้อาวุธที่เสี่ยงน้อยกว่าที่จะทำให้เสียชีวิต อย่างเช่น กระสุนยาง ไม้กระบอง แก๊สน้ำตา และการฉีดน้ำแรงดันสูงที่เจือด้วยสารเคมีสร้างความระคายเคือง
เอ็มเมอร์ลีน จิล รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า การใช้วิธีข่มขู่อย่างต่อเนื่องและบ่อยครั้งของทางการไทย เป็นการโจมตีอย่างชัดเจนต่อสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็นและการประท้วงอย่างสงบ เกือบหนึ่งปีหลังจากรัฐบาลไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับการประท้วงอย่างสงบที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ทำให้เกิดสภาพที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง กล่าวคือมีบุคคล 383 คนที่ถูกดำเนินคดีอาญาแบบจงใจใส่ความ รวมทั้งเยาวชน 13 คน เพียงเพราะการชุมนุมและแสดงความเห็น
“ทางการไทยใช้เวลาทั้งปีที่ผ่านมากับปฏิบัติการอย่างเป็นระบบแบบใหม่ เพื่อปราบปรามประชาชนที่เพียงต้องการแสดงความเห็นของตนอย่างสงบ เรายังคงกระตุ้นทางการให้ทบทวนแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ และให้หาทางคลี่คลายสถานการณ์ตามแนวทางที่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง”
“เป็นเรื่องน่าตกใจที่ทางการปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ประกันตัวผู้ประท้วงอย่างสงบที่เป็นแกนนำ พวกเขาถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากถูกดำเนินคดีในหลายข้อหาเพียงเพราะแสดงความเห็นของตน”
“ทางการต้องยกเลิกข้อหาที่มีแรงจูงใจทางการเมืองกับผู้ประท้วงอย่างสงบโดยทันที รวมทั้งผู้ประท้วงที่เป็นเยาวชน ต้องมีการปล่อยตัวผู้ประท้วงอย่างสงบและแกนนำที่ยังถูกควบคุมตัวทุกคน ให้สอบสวนกรณีที่มีการใช้กำลังอย่างไม่จำเป็นและ เกินขอบเขต บ่อยครั้ง และประกันว่าจะมีการควบคุมดูแลการประท้วงเหล่านี้ สอดคล้องตามมาตรฐานระหว่างประเทศ” เอ็มเมอร์ลีน จิล กล่าว