หลังจากที่นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความสารภาพ ว่าตนเองเป็นคนลงมือเผาพระบรมฉายาลักษณ์หน้าเรือนจำคลองเปรมจริง และลงมือทำเพียงคนเดียว ผู้อื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น
แต่ต่อเมื่อค่ำคืนวันที่ 3 มี.ค. เวลา 23.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมหญิงสาวรายหนึ่งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยหญิงสาวรายนี้กำลังเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ น.ส.ญาริศา (สงวนนามสกุล) เพื่อนสาวคนสนิทของแอมมี่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวมาสอบสวนเกี่ยวกับคดีเผาทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการ
โดย น.ส.ญาริศา มีกำหนดเดินทางไปต่างประเทศในวันนี้ (4 มี.ค.) และระหว่างรอขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เชิญตัวมาสอบสวน ทั้งนี้การออกหมายจับนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ ในคดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์ เจ้าหน้าที่ยังสืบทราบว่ามีบุคคลอื่นร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ด้วย โดยเป็นผู้ชายอีก 2 คน และผู้หญิง 1 คน
ก่อนหน้านี้ทางด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA)ได้แสดงความคิดเห็นถึงแอมมี่ ว่า สงสารลูกสาวของแอมมีเดอะบอททอม บลูส์นะครับ ติดคุกยาวไปเลย ศาลออกหมายจับ เพราะบุกรุกสถานที่ราชการในยามวิกาล วางเพลิงเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และนำเข้าข้อความในระบบคอมพิวเตอร์เป็นภัยความมั่นคงแห่งรัฐ คงติดคุกยาว ๆ ไปเลย ลูกสาวยังเล็กจะรู้ไหมว่าพ่อทำชั่วขนาดไหน มาต่อเนื่องยาวนานขนาดไหน สาดสีใส่ตำรวจ แต่งกายเสียดสีล้อเลียนในหลวงรัชกาลที่ 9 เอาผ้ามาปิดตาเพื่อล้อเลียนในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าพระองค์ท่านพระเนตรบอด แต่พระองค์ท่านไม่ได้ใจบอดเหมือนแอมมี่อย่างแน่นอน และพระเนตรเดียวดวงนั้นก็แสนยิ่งใหญ่ ทรงงาน หนักเพื่อคนไทยมาเจ็ดสิบปี
และหลังจากที่แอมมี่ ได้โพสต์ข้อความสารภาพ รวมทั้งมีคลิปเปิดเผยว่าตัวเองลงมือทำเพียงคนเดียว โดยในเฟซบุ๊ก ก็ระบุข้อความว่า “การกระทำการเผาพระบรมในครั้งนี้ เป็นฝีมือของผมและผมขอรับผิดชอบไว้ แต่เพียงผู้เดียว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับกลุ่มการเคลื่อนไหว หรือ การเรียกร้องใด ๆ
เหตุผลของผมนั้นเข้าใจง่ายมาก เล่าไปถึงตอนผมโดนจับไปวันที่ 13 ตุลา ปีที่แล้ว เพนกวิ้นคือคนแรกที่โทหาผมบนรถห้องขัง และประกาศรวมพลมวลชนทันที แต่กลับกันในครั้งนี้กวิ้น และพี่น้องของผม ต้องติดอยู่ในคุกนานกว่า 20 วันแล้ว
แต่ผมไม่สามารถที่จะช่วยเหลือพวกเค้าได้เลย ผมรู้สึกละอายและผิดหวังในตัวเอง
การเผาพระบรมในครั้งนี้ ผมยอมรับว่าเป็นความคิดที่โง่เขลา และทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย
แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในการเผาครั้งนี้
มีอยู่มากมาย เป็นสัญลักษณ์ง่าย ๆ
ที่หวังว่าทุกคนเข้าใจและจะมองเห็นมัน
หวังว่าจะได้พบกันใหม่
ขอให้ทุกคนสู้ต่อไป ”
จากข้อความนี้ เมื่อถอดคำกล่าวของแอมมี่ออกมา จะพบว่าการใช้ถ้อยคำ ค่อนข้างมีนัยะแอบแฝง ยังพยายามที่จะจาบจ้วงสถาบัน และพระมหากษัตริย์ โดยแทนที่แอมมี่ จะพิมพ์เต็ม ว่า “พระบรมฉายาลักษณ์” แบบเต็ม ๆ แต่เลือกที่จะเขียนแค่ว่า พระบรม ซึ่งคล้ายกับพระนามของในหลวงร.10 เมื่อครั้งมีพระยศเป็น พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ต่อมา คำสารภาพที่ว่า ตนเองลงมือทำคนเดียว ดร.อานนท์ ได้วิเคราะห์ไว้ว่า “คนชักใยแอมมี่บลูส์ อำมหิตมาก น่าจะสั่ง ฆ่าตัวตายเพื่อฆ่าตัดตอน และผมเชื่อว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
” นายแอมมี่พยายามย้ำหลายครั้งว่า เหตุการณ์ที่ลงมือทำ ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ทำเพื่อตอบแทนที่เพนกวิน เพื่อนรักเคยช่วยเหลือตนเอง ทั้งที่ความจริงภาพจากกล้องวงจรปิด เผยชัดว่า มีเพื่อนร่วมก๊วนไปด้วยกัน และการกระทำที่ได้ชักชวนเยาวชนวัย 17 ปี ขับรถให้นั้น น่าจะมีการวางแผนมาแล้ว ก่อนลงมือทำ แต่พลาดตกนั่งร้านจนหลังเจ็บ และกลัวจะอาการหนัก เลยหนีไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก่อนจะหนีไปที่อยุธยา
อย่างไรก็ตาม ยังมีการวิเคราะห์ถึงหนทางสู้ของแอมมี่ และชะตากรรมหลังถูกจับกุมตัวด้วยว่า “การที่แอมมี่ หนีไปอยุธยา เจตนาหลบหนีชัดเจน เป็นการขุดหลุม ตอกฝาโลง ฝังตัวเองในคุก หมดโอกาสประกันตัว” โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า นันท์สกร นพรัตน์วิมล ยังบอกอีกด้วยว่า “ค่อนข้างมั่นใจว่า การที่แอมมี่ หลบหนีการจับกุมไปกบดานที่อยุธยา มีเจตนาหลบหนีชัดเจน เป็นการขุดลุม ตอกฝาโลงฝังตัวเองในคุก หมดโอกาสในการประกันตัว ส.ส.ก้าวไกล ที่เคยประกันตัวผู้ต้องหาสามกีบ ก็รู้ในข้อเท็จจริงนี้ ว่ามีความเสี่ยงกับตำแหน่ง ส.ส. ของตนเองอย่างไร สุดท้ายคงนิ่งเงียบ ตัดหางปล่อยวัด แอมมี่ ไม่ทำให้ตัวเองเสี่ยง โดนหางเลขไปด้วย”