จตุพรฟันฉับ!ครั้งหน้าไม่พ้นกระสุนจริง ชี้บทเรียนพฤษภาทมิฬ-ม็อบไร้แกนนำเสียชีวิตเกลื่อน

2631

เห็นได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าม็อบเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมามีการวางแผน เตรียมมาก่อเรื่องหวังจุดชนวนให้เกิดความรุนแรง ถึงขั้นที่ว่า ก่อจลาจล ดังนั้นซึ่งน่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่าการชุมนุมครั้งต่อไป จะจบลงแบบไหน โดยวันนี้มีมุมสะท้อนจากแกนนำมวลชนอย่างตู่ จตุพร มาให้ความเห็นไว้อย่างแหลมคม!?!

ทั้งนี้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ตอนหนึ่งที่ระบุถึงเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มราษฎรเมื่อคืนวันที่ 28 ก.พ. ว่า การเดินทางไปที่บ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในกรมทหารราบที่1 รอ. นั้น ถ้าพิจารณาการเตรียมรับมือผู้ชุมนุมของตำรวจแล้ว ส่อถึงการหนีไม่พ้นการอยากมีเรื่องไปได้

“ถ้าตำรวจเลิกวิธีคิดแบบใช้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นกำแพงแล้ว แรงปะทะของผู้ชุมนุมจะไม่รุนแรง ตลอดจนถ้าฝ่ายของรัฐตั้งเป้าประสงค์ไม่ต้องการจะมีเรื่อง ความกดดันจะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน  ผู้ชุมนุมต่อให้มีโรคแทรกกันอย่างไร การเดินไปชุมนุมที่หน้ากรมทหารราบที่1 รอ ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างมากแค่ตั้งเวทีปราศรัยหน้าค่ายทหารแล้วก็แยกกันไป แต่การตั้งจุดสกัดเป็นตอนๆนั้น พร้อมทั้งใช้มาตรการฉีดน้ำ ยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง แล้วมีกลุ่มคนใส่หมวกขาว การชุมนุมในช่วงปลายนั้น ถึงมีแกนนำก็ไม่สามารถหยุดการแทรกแซงได้ โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ใช้หมวกขาวแบบผู้ชุมนุม

ดังนั้นการแทรกแซงจึงรุนแรงขึ้น ส่อถึงการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ตลอดของการชุมนุมในอนาคต ซึ่งไม่เป็นผลดีอะไรกับประเทศชาติ หากมีการแนะนำให้ใช้การสลายการชุมนุมเช่นนี้ จะทำให้สถานการณ์รัฐบาลดีขึ้น หรือนำไปกลบเรื่องราวต่างๆแล้ว แต่ในความจริงทางการเมืองเมื่อพยายามสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมากลบเรื่องเก่า เพื่อให้คนมาถกเรื่องรุนแรงของเหตุการณ์เมื่อวันที่28ก.พ. แต่จะเกิดเรื่องใหม่ขึ้นอีกเสมอและเป็นปกติ

ไม่เห็นด้วยกับวิธีการรับมือของรัฐ ถ้าใช้สมองมากขึ้นหรือไม่มีตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งแล้ว ผู้ชุมนุมจะบุกเข้าถึงบ้านนายกฯในค่ายทหารได้ไม่ง่ายเลย อย่างเก่งแค่ชุมนุมหน้าค่ายทหารเท่านั้น เมื่อใช้สมองมากขึ้นจึงรู้ได้ว่า โรคแทรกแซงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ นอกจากจะมีความพยายามให้เกิดเรื่องขึ้นเท่านั้น การบุกไปถึงบ้านนายกฯที่อยู่ในค่ายทหารไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ส่วนวิธีคิดที่รัฐใช้นั้น เป็นสิ่งที่ผิดอย่างมากที่พยายามสกัดกั้น ทั้งที่ธรรมชาติการชุมนุมแล้วจะมีเจ้าหน้าที่รัฐปะปนอยู่กับผู้ชุมนุมอยู่แล้ว ดังนั้นการสร้างอารมณ์ให้เกิดการปะทะ รัฐจึงมีส่วนหลักในการให้เกิดขึ้น และเป็นเจตนาที่ต้องการให้เกิดเรื่องขึ้น” นายจตุพร กล่าว

นอกจากนี้ ประธานนปช. ยังกล่าวอีกช่วงหนึ่งว่า ปรากฎการณ์ชุมนุม28 ก.พ. เป็นการชุมนุมเลยปกติทางการเมือง ผู้ชุมนุมไม่มีแกนนำ จึงเป็นการยากลำบากในการพูดคุย มีตัวอย่างในช่วงปลายการชุมนุมเมื่อพฤษภาปี 2535 ที่มีความตายจำนวนมากจากการชุมนุม ส่วนใหญ่เกิดจากม็อบไม่มีแกนนำทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ แม้การฉีดน้ำ ใช้แก๊สน้ำตา และยิงกระสุนยางแล้ว สะท้อนถึงการชุมนุมครั้งต่อไป ย่อมหนีการใช้กระสุนจริงไม่พ้น

“เป็นวิวัฒนาการสกัดการชุมนุมในมุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ในวันที่ 8 มี.ค.นี้ แกนนำราษฎรชุดหนึ่งครบกำหนดนัดไปพบอัยการเพื่อฟังคำสั่งฟ้องศาลหรือไม่ ถ้าอัยการสั่งฟ้องแล้ว โอกาสจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆจึงมีมากมาย และแกนนำจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ ถ้าเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องยาก โดยประสบการณ์ส่วนตัวของตนเองทำให้คิดเช่นนี้ เข้าใจว่า การถูกคุมขังขณะที่คำพิพากษาไม่ถึงที่สุดนั้น ต้องมีสิทธิยื่นประกันตัวได้ แล้วต้องรอลุ้นกันต่อไป ดังนั้น แกนนำที่จะไปพบอัยการในวันที่ 8 มี.ค.นี้ ต้องลุ้นกันมากกว่าอีก ซึ่งส่อถึงแนวโน้มของสถานการณ์ชุมนุมกันได้”

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ปรากฎการณ์ 28 ก.พ. เชื่อว่า ครั้งหน้า ถ้าทุกอย่างเอื้ออำนวยแล้ว การปะทะก็จะเกิดขึ้นมาอีก ถึงที่สุดแล้ว ตนเน้นเสมอว่า ไม่ควรจะมีใครมาตายด้วยการชุมนุมทางการเมือง เชื่อว่า ยังมีหนทางแสวงหาสันติกันได้ สันติวิธีแก้ปัญหาได้ตรงจุด แต่สิ่งนี้จึงขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีสติมากกว่ากัน รวมทั้ง ถ้ารัฐขาดสติ ก็อย่าหวังว่าประชาชนจะมีสติ ดังนั้น ถ้ารัฐไม่ประสงค์จะมีเรื่องสักอย่าง เรื่องก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้น อย่าเอาตู้คอนเทนเนอร์มาสกัดเลย ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามธรรมชาติ เพราะการชุมนุมทางการเมืองเป็นเช่นนั้น

“ถ้าคิดว่ามีอำนาจเหนือกว่า มีกำลังเหนือกว่าแล้วจะชนะ หลายคนก็คิดเช่นนั้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคราวจะชนะ ทุกคราวจจะแพ้ เพราะแพ้ ชนะสลับกันเสมอ เชื่อว่า มีนาคม เป็นเดือนการเปลี่ยนแปลง จึงต้องติดตาม แต่จะเปลี่ยนกันแบบไหนชนิดที่ใครคาดไม่ถึงก็ได้ จุดจบอาจไม่ตรงกับหลายคนคิด แต่มีนาคมจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศไทย” นายจตุพร กล่าว

ขณะที่นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ด้วยว่า

“จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย นับวันม็อบร้อยชื่อก็จะรุนแรงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล​ ต้องหาเรื่องปะทะกับตำรวจทุกครั้งที่ออกมาชุมนุม​ ล่าสุด​ 28​ กุมภาพันธ์​ 64​ จะบุกไปบ้านพักลุงตู่ที่ราบ​ 1  อยากเข้าไปข้างในกรมทหารเลยหรือไง​ แสดงพลังด้านนอกกรมทหารไม่พอหรือต้องรื้อคอนเทนเนอร์ที่ตำรวจอุตส่าห์ตั้งแนวไว้​ หากไม่รุนแรงก่อน​ มีหรือที่ตำรวจจะกล้า​ ใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตาหรือกระสุนยาง​ เพื่อยับยั้งม็อบไม่ให้รุนแรงเกินเหตุ​

แกนนำอีแอบอาจบอกว่า​ ไม่รุนแรง​ แค่ฉี่รดหัวตำรวจ​ ไม่ถึงตาย​ ลองมายืนให้คนอื่นฉี่รด ไม่ต้องรดหัวแค่เฉี่ยวๆก็ได้​ ดูซิว่าจะทนได้มั้ย  มีข้อสังเกตนะ​ พัฒนาการของ ม็อบมันซ้ำรอย​ เลียนแบบฮ่องกงยังกับมาจากพิมพ์เดียวกัน​ ธงชาติที่ถือ​ ล้วนธงที่อยากแยกตัวออกจากจีนทั้งสิ้น​ มีอะไรเกี่ยวข้องกับการต่อต้านจีนของม็อบร้อยชื่อมั้ย​ หรือรับโจทย์ชาติตะวันตกมา

ทำไมถึงวิเคราะห์อย่างนั้น​ ความวุ่นวายทางการเมืองในแถบนี้​ มีความคล้ายกับแบบที่เกิดในกลุ่มรัฐอิสลาม​ ที่ฝรั่งเรียก Arab Spring  ส่วนแถบเอเชีย​ ฝรั่งตั้งชื่อว่า​ Tea Milk Spring ขบวนการชานม  คลุมทั้งฮ่องกง​ไต้หวัน​ พม่า​และไทย​ เดินตามแนวเดียวกันหมด​ ยังกะคนเขียนบทเป็นคนๆเดียวกัน

อยากเตือนสติ​ ฝรั่งตะวันตกเชื่อใจไม่ได้​ ไม่เคยเห็นคนผิวเหลืองอย่างพวกเราเป็นเพื่อน วันที่ประเทศไทยจะก้าวเป็นเสือตัวที่ห้า​ ไอ้จอร์จก็มาทุบค่าเงินบาทจนติดดิน​ มหามิตรบาทเดียวก็ไม่ช่วย แถมส่งทุนตะวันตกมาฮุบของถูก​ เอาไปขายแบ่งสมบัติกัน ดูตี่ฮ่องกงเป็นตัวอย่าง มันยุให้สู้พอแพ้ก็ทิ้ง​ ลี้ภัยก็ไม่รับ​ อย่าเผาบ้านตัวเอง​ เพื่อสนองความใคร่คนอื่น”