จากที่วานนี้ (22 ก.พ. 2564) นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางมายื่นประกันตัว นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
จำเลยที่ 1-4 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร ซึ่งถูกคุมขังไม่ได้รับการประกันตัวจากคำสั่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ หลังถูกยื่นฟ้องคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตาม ป.อาญา ม.112, ยุยงปลุกปั่นฯ ม.116 และข้อหาอื่น ๆ
ทั้งนี้ นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ตนกับ อ.พนัส เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือด้วยกัน เรามีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิด ในแง่วิชาความรู้ที่เราเรียนมา เราสอนคนต้องการยืนยันหลักวิชาการ อย่าง อ.พนัส ระบุถึงหลักนิติศาสตร์สากลควรเป็นอย่างไรในแง่คดีความ ส่วนของตนใช้หลักประวัติศาสตร์สากลว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ ตนเชื่อว่าสิ่งที่คนทั้ง 4 กำลังทำอยู่ และคนรุ่นใหม่กำลังทำอยู่ เป็นเรื่องประวัติศาสตร์สากลของสถาบันพระมหากษัตริย์ทั่วโลกที่ยังคงอยู่เป็นจำนวนไม่มากนัก เมื่อเทียบกับจำนวนสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ
นายชาญวิทย์ กล่าวต่อไปว่า สถาบันกษัตริย์ที่มั่นคง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชน ยกตัวอย่างที่เป็นอันดับหนึ่งของโลก คือสหราชอาณาจักรอังกฤษ สถาบันกษัตริย์ของอังกฤษนั้นก็ได้ปฏิรูปมาจนกระทั่งมั่นคงอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างที่ใกล้เราที่สุดก็คือญี่ปุ่น สถาบันจักรพรรดินั้นหลังจากที่ได้ถูกใช้อ้างอิง ใช้โหนโดยฝ่ายรัฐบาล รัฐทหารของญี่ปุ่น จนกระทั่งเข้าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องแพ้สงครามด้วยการโดนระเบิดปรมาณู 2 ลูก อย่างที่เราทราบกันดี ตนคิดว่าสถาบันพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็คือสถาบันที่ได้รับการปฏิรูปไปแล้ว
“ดังนั้นผมเชื่อว่าข้อเสนอของเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่รวมทั้ง 4 ท่านที่เรากำลังพูดถึง คือข้อเสนอซึ่งถูกต้องตามหลักวิชาการประวัติศาสตร์ ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ของสถาบันกษัตริย์ระดับสากล เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องพูดว่าทั้ง อ.พนัส และผมยินดีมากที่จะเป็นคนที่ช่วยผลักดันในเรื่องนี้” นายชาญวิทย์ กล่าว
โดยเมื่อถามถึงกระแสเรียกร้องให้อาจารย์ออกมานำการชุมนุมเอง นายชาญวิทย์ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้หรอก ตนอายุ 80 แล้ว อ.พนัส ก็เหมือนกัน เราเป็นคนรุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะฉะนั้นโดยอายุอานามเราแก่เกินไปแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือการเอาหลักวิชาการ เอาประสบการณ์ของตัวเองออกมาช่วยชี้แนะ ไม่ใช่พ่อยกนะ ตนก็ชอบดูทราย เจริญปุระ แม่ยกแห่งชาติ เพราะนอกจากจะเก่ง กล้าหาญ แล้วยังสวยอีกต่างหาก แต่เราเล่นบทนั้นไม่ได้ อย่างดีเราก็เป็นผู้ให้กำลังใจ
“ผมคิดว่าคนรุ่นที่กำลังจะหมดอายุขัยไปแล้ว ตั้งแต่เบบี้บูมเมอร์ คนเดือนตุลา แน่นอนบางคนอาจจะยังมีกำลังกาย กำลังใจแข็งแรง ทำงานได้อยู่ แต่ว่าส่วนใหญ่จะหมดรุ่นของตัวเองไปแล้ว ดีที่สุดก็คือสนับสนุนให้กำลังใจ เอาประสบการณ์ของเราเองมาบอกเขาว่าทำได้ไหม อ.ป๋วย (อึ๊งภากรณ์) บอกว่าอย่าเป็นไทยมุง อย่าเป็นไทยเฉย จำได้ไหม อ.ป๋วย บอกว่าการต่อสู้จะได้ประชาธิปไตยต้องสันติประชาธรรม” นายชาญวิทย์ กล่าว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าวว่า #ถึงอาจารย์ชาญวิทย์ เมื่อวานที่อาจารย์ไปยื่นประกัน 4 แกนนำ ผมติดใจในคำพูดของอาจารย์ครับ ผมคิดไม่ถึงว่า อาจารย์ช่างแยบยลจนเกือบตามไม่ทัน
1. การที่อาจารย์บอกว่า “ใช้หลักประวัติศาสตร์สากล ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์” อาจารย์คิดว่า ทางประวัติศาสตร์แล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย จะเหมือนกับต่างประเทศเหรอ ความเคารพศรัทธาของประชาชน ตลอดจนการเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนไทย แค่นี้ก็น่าจะบ่งบอกว่าอาจารย์มีอคติ
2. “ผมเชื่อใน สิ่งที่คนทั้ง ๔ กำลังทำอยู่ และคนรุ่นใหม่กำลังทำอยู่” ผมอยากบอกอาจารย์ว่า ทั้งสี่คนถูกดำเนินคดีเพราะไปด่า หยาบคาย กร้าวร้าว ไม่ใช่เรื่องเสียสละ หรือทำอะไรให้ชาติ แค่ดูพฤติกรรมแล้ว ก็รับรู้ว่า ไม่ได้ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูงขึ้น แต่พฤติกรรมแบบนี้ เขาเรียกจ้องทำลาย
ขนาดอาจารย์อาวุโส ยังเป็นได้ขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่ระดับคุณภาพการศึกษาไทย ยังต้องพัฒนาอีกมาก ทางที่ดีอาจารย์น่าจะ หาคนไปทำโพลว่า “ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับนักการเมือง” ควรจะปฏิรูปอะไรก่อน