พิธา” อยากจบ ออกตัวแรง ถ้าเป็น “นายกฯ” จะชูสถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง

5199

จากกรณีที่ก่อนหน้านี้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมากพูดถึงภาพรวมการอภิปรายตามญัตติ และยืนยันว่า ผู้อภิปรายมีวุฒิภาวะโดยยึดญัตติ ข้อบังคับและรัฐ ธรรมนูญ ขณะเดียวกันตนเองได้ให้กำลังใจผู้อภิปรายของพรรคว่า ขอให้มีสมาธิอย่าหวั่นไหวและอย่าหลงกลหากมีการประท้วงเสียดสี

อย่างเช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ถูกยั่วโมโหระหว่างการอภิปรายแต่ไม่เคยโต้ตอบ และยังยึดประโยชน์ของชาติและประชาชน ทั้งนี้หลายเรื่องที่เราตั้งคำถามนายกรัฐมนตรีก็ตอบไม่ตรงคำถามกับสิ่งที่เราพูดทั้งในเรื่องวัคซีน การทุจริต เอื้อนายทุนและพวกพ้องตัวเอง

สำหรับการอภิปรายในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตเชิงนโยบาย การใช้อำนาจรัฐเอื้อนายทุน และพวกพ้องของตนเองทำให้ประเทศเสียหาย อีกทั้งในกรณีที่เมื่อมีคำถามออกไป เช่นเรื่องภาษีค่าไฟฟ้าค่าน้ำฟรีเบี้ยวหรือไม่ นายกฯ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ตอบโดยตรง แต่จะปิดปากด้วยกฎหมายแทน รวมทั้งนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ นายกรัฐมนตรี ที่จะใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปิดปากนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส. พรรคก้าวไกล ทั้งที่เป็นเอกสิทธิ์การอภิปรายของ ส.ส. ซึ่งตนได้ยืนยันกับนางอมรัตน์แล้วว่า จะยืนเคียงข้างลูกพรรคและจะให้ทีมกฎหมายต่อสู้ต่อไป แต่สิ่งที่จะทำได้เลยตอนนี้ คือ จะถามไปยังผู้เสียหายโดยตรงคือนายกฯ ว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ ส.ส. ทำหน้าที่ ถ้าไม่ผิดก็ตอบคำถาม ไม่ใช่ปิดปากฝ่ายค้าน ถ้าเห็นด้วยกับการกระทำของนายสุภรณ์ ก็ถือว่า ไม่สง่างามชาติทหารกับสุภาพสตรีที่ทำหน้าที่

ล่าสุดได้มีประเด็นที่นายพิธา ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ และแชร์คลิปที่ตนเองอภิปรายในสภา พร้อมระบุว่า “ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมจะไม่ปล่อยให้มีการพูดเรื่องสถาบันฯไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีทางออกแบบนี้ เราต้องมีพื้นที่ปลอดภัย ปัญหาจะยุติและสถาบันพระมหากษัตริย์จะมั่นคงยั่งยืน นายกฯที่ดีในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องเชิดชูสถาบันให้อยู่เหนือการเมือง”

อย่างไรก็ตามจากคำพูดของนายพิธา ทำให้มีกระแสตีกลับ มีคนเข้ามาคอมเม้นต์ว่า ถ้าคิดแบบนี้ขอบอกว่าอีกนาน ไม่มีทางได้มาเป็นนายกฯ บางคนก็บอกด้วยว่า ไปชนะเลือกตั้งให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาคิดเรื่องนี้

นอกจากนี้นายพิธา ยังได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กด้วยว่า 1 ปี หลังยุบพรรคอนาคตใหม่ พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่การ “ตัดไฟแต่ต้นลม” แต่มันคือ “ไฟลามทุ่ง”

หนึ่งปีที่แล้ว ในวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญยุบ “พรรคอนาคตใหม่” ฆ่าเสียงของประชาชนกว่า 6 ล้านเสียง ไม่สนใจจะฟังเสียงของประชาชนที่ต่อต้านกลุ่มการเมืองที่กุมอำนาจรัฐและมีที่มาจากการรัฐประหาร ผลจากคำวินิจฉัยยุบพรรคนำมาซึ่งการเกิดขึ้นของ “พรรคก้าวไกล” และ “คณะก้าวหน้า” พวกเราเดินหน้าต่อทันทีโดยไม่รู้สึกย่อท้อ สานต่อเจตจำนงของประชาชนทุกเสียงที่สนับสนุนภารกิจของพรรคให้สำเร็จ หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นการพิสูจน์แล้วว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่ไม่สามารถหยุดยั้งเจตจำนงและภารกิจของเราทุกคนได้


ผมอยากชวนให้สังคมร่วมกันพิจารณาดูว่าใน 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ประเทศชาติบ้านเมืองเรามีการพัฒนาใดขึ้นบ้าง? เศรษฐกิจของประเทศเราดีขึ้นหรือแย่ลง? สภาพบ้านเมืองเราพัฒนาไปในทางไหนบ้าง? หรือผู้มีอำนาจนั้นมัวแต่มุ่งสร้างความ “นิยมชมชอบ” ให้กับตัวเองและสร้างความแตกแยกในสังคม ในขณะที่โลกของเรากำลังเดินหน้าเข้าสู่ความเปลื่ยนแปลง ความท้าทายของโลกปัจจุบัน เผชิญกับปัญหาทางธรรมชาติรูปแบบใหม่ และความเหลื่อมล้ำที่กำลังเติบโตขึ้นทุกหนแห่งเหมือนมะเร็ง บทสนทนาบนเวทีโลกกำลังมีความท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ

พรรคก้าวไกลยังยืนยันเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมทั้งการสร้างพรรคการเมืองที่แข็งแกร่งขึ้น มีสมาชิกพรรคมากขึ้น เพื่อมาร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นสำคัญต่างๆ เป็นกระบอกเสียงของประชาชน หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ตอกย้ำว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่นั้นไม่สามารถที่จะฝังกลบความฝัน ความเชื่อ และเจตจำนงของพวกเราและประชาชนที่มอบความเชื่อมั่น ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มีให้กันเสมอมา พวกเราจะก้าวต่อไป เราจะก้าวให้ไกล และก้าวไปไม่หยุด สู่อนาคตใหม่ ที่ก้าวหน้า เท่าเทียม