ไพศาล ชี้ คำสั่งอุทธรณ์เป็นบรรทัดฐาน เตือนอย่าท้าทาย ขณะอานนท์ ยังไม่สำนึกขู่ศาลจากในคุก ให้เลือกจะรับใช้ใคร!?!

5177

ไพศาล ยัน คำสั่งศาลอุทธรณ์ชี้ขาด อานนท์ ไม่สำนึก ฝากข้อความผ่านทนาย ท้วงผู้พิพากษา เคยบอกศาลจะไม่ราดน้ำมันบนกองไฟ ชี้ถึงจุดที่ต้องเลือกข้าง

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ศาลอาญาอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์  ในคำร้องที่ น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยในคดีหมายเลขดำ อ.286/2564 พร้อมด้วย นายพงษ์สิทธิ์ นาเมืองรักษ์ ทนายความของ นายพริษฐ์, นายอานนท์ นำภา, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร จำเลยที่ 1-4 ในคดีหมายเลขดำ  อ.287/2564 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวของศาลอาญา ในคดีที่กลุ่มจำเลยถูกพนักงานอัยการส่งฟ้องข้อหาความผิด ป.อาญา ม.112, ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา กรณีการชุมนุม 19-20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง ส่วนคดีหมายเลขดำ อ.286/2564 นายพริษฐ์ถูกฟ้องเพียงคนเดียวในข้อหาความผิด ป.อาญา ม.112 กรณีการชุมนุมม็อบเฟส 14 พ.ย. 2563

โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งต่อคำร้อง 3 ฉบับ ประกอบด้วยคำร้องคดี อ.286/2564 ที่นายพริษฐ์เป็นจำเลย ศาลให้เหตุผลว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง การกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้น และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยขึ้นปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย นอกจากนี้ ยังปรากฎพฤติการณ์ของจำเลยว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันในคดีอื่นอีก เมื่อพิจารณาประกอบคำคัดค้านของพนักงานอัยการโจทก์แล้ว กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้ว จำเลยอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่าจำเลยอาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

สำหรับคำร้องคดี อ.287/2564 ที่มีการยื่นเข้ามาแยกกันเป็น 2 ฉบับ เป็นฉบับของจำเลยที่ 1, 2, 4 กับฉบับของจำเลยที่ 3 (หมอลำแบงค์) ศาลให้เหตุผลในทำนองเดียวกัน สรุปได้ว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง การกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยจำเลยทั้งหมดปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และมีลักษณะชักนำประชาชนให้ล่วงละเมิดต่อกฎหมายของแผ่นดิน

นอกจากนี้ ยังปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้ในคดีอื่นอีก ส่วนจำเลยที่ 4 เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งคดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถูกจับกุมตามหมายจับ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้ว จำเลยที่ 1, 2 และ4 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1, 2 และ 4 อาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 2 และ 4 ในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

ส่วนจำเลยที่ 3 เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งคดีนี้จำเลยที่ 3 ถูกจับกุมตามหมายจับ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้ว จำเลยที่ 3 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีก และน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 อาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 3 ในระหว่างพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

ล่าสุดทางด้าน นายอานนท์ นำภา ได้ฝากข้อความผ่านทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยน.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ หรือ ทนายจูน ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า

“ผู้พิพากษาท่านหนึ่งเคยบอกกับผมว่า ศาลจะไม่ราดน้ำมันบนกองไฟ มาถึงวันนี้อยากถามท่านว่าท่านยังจำคำพูดของท่านได้หรือไม่ ศาลเดินมาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างรับใช้ประชาชน หรือรับใช้ผู้กดขี่”

อานนท์ นำภา 15 กพ 64 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

อานนท์ นำภา ฝากข้อความออกมาวันนี้ พอดีกับที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น #ไม่ให้ประกันตัว “อานนท์-เพนกวิน-สมยศ-หมอลำแบงค์” ระบุอัตราโทษสูง อาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย-ส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจของชาวไทยผู้จงรักภักดี และหากได้รับการปล่อยตัว อาจหลบหนี

ต่อมาทางด้านนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวว่า

ด่วนมาก
แก๊งหัวโจกกาเหว่าผวาหนัก
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น
ไม่อนุญาตให้ประกันตัวแกนนำกาเหว่า 4 คนที่ถูกดำเนินคดีข้อหามาตรา 112 และ 116
ทำให้แกนนำกาเหว่าที่ยังอยู่นอกเรือนจำผวาตามๆกันว่า อีกไม่กี่วันจะต้องเดินทางเข้าไปสมทบในคุก!!!!
ยิ่งก่อความรุนแรงข้างนอกเท่าไร ก็ยิ่งยืนยันความถูกต้องในการที่ไม่ควรปล่อยตัวชั่วคราว
แกนนำกาเหว่านัดชุมนุมเย็นวันนี้อีกแล้วเพื่อประท้วงคำสั่งศาลอุทธรณ์
จับตาว่าจะสร้างความฉิบหายเรื่องอะไรอีก!!!
อย่าลืมว่าการทำความผิดซึ่งหน้า ตำรวจสามารถจับดำเนินคดีได้ทันที!!!
และยังได้โพสต์ต่อว่า บรรทัดฐานคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัว 4 แกนนำกาเหว่า

ระบุเหตุตามกฎหมายดังนี้
1 การปราศรัยหมิ่นสถาบันกระทบกระเทือนจิตใจประชาชนผู้มีความจงรักภักดี
2 คดีมีโทษหนัก
3 เกรงว่าถ้าได้รับการปล่อยตัวไปแล้วจะหลบหนี
เมื่อรวมกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในการไม่ให้ประกันตัวคือ การกระทำความผิดซ้ำซาก
เหตุแห่งการวินิจฉัยทั้ง 4 ประการนี้ จะเป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัยสั่งคำขอประกันตัวชั่วคราวคดีกลุ่มนี้ในอนาคตด้วย!!! อย่าท้าทายอำนาจศาลยุติธรรม!!!! เดี๋ยวจะหาว่าข้อยไม่เตือน