นางสิงห์แห่งเยอรมนีฉีกหน้ากากโจ ไบเดน ชี้ว่าสหรัฐคือทรราชย์สากล ทำให้เกิดความฮือฮาไปทั่วโลก เหตุเกิดที่เมืองดาวอส การประชุมเวิลด์อิโคโนมิคฟอรัมเดือนม.ค.2564 โดยนางอังกาลา แมร์เคิลนายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี แถลงการณ์ต่อต้านสหรัฐอเมริกาทำสงครามเย็นกับจีน แล้วเที่ยวบีบประเทศอื่นให้เลือกข้างรุมจีนด้วย ทำโลกตะลึงอ้าปากค้างด้วยสุดคาดคิด ก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์บทบาทสหรัฐอย่างกว้างขวางทั่วโลกเป็นครั้งแรก มีทั้งฝั่งหนุนสหรัฐพร้อมเป็นประเทศบริวารและมีผู้เห็นด้วยกับแมร์เคิล ตอบโต้กันดุเดือด จับตาแก๊งทรราชย์สหรัฐรุกหนักไทย-เมียนมา เพราะมือวางอันดับหนึ่งของไบเดนที่ทำแมร์เคิลควันออกหู คืออดีตมือขวาโอบามาปักหมุดเอเซีย นายแอนโทนี่ บลิงเคลน รมว.กระทรวงการต่างประเทศคนใหม่
เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2564 หนังสือพิมพ์ Hamburger Morgenpost สื่อชื่อดังของเยอรมันรายงานว่านายกรัฐมนตรีเยอรมนีได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโจ ไบเดน ของสหรัฐฯอย่างต่อเนื่องว่า “จัดตั้งแก๊ง” เพื่อต่อต้านจีนสร้างกลุ่ม”พันธมิตรสงครามเย็น” เป็นพฤติกรรมที่เรียกว่า “ทรราชย์สากล” เพือ อธิบายให้กับประเทศในยุโรปและทั่วโลกว่าเพราะเหตุใดเยอรมนีจึงประกาศจุดยืนคัดค้านการกระทำของสหรัฐ
นางอังกาลา แมร์เคิล (Angela Merkel) กล่าวว่าเยอรมนีจะไม่เข้าร่วมในพฤติกรรมใด ๆ ที่นำโดยสหรัฐฯซึ่งมุ่งเป้าไปที่ “การปิดล้อมและปราบปรามจีน” และเธอยังแนะนำให้ประเทศอื่น ๆ อย่าเข้าร่วมในพฤติกรรม “hegemonic” นี้! เพราะจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อื่นใดนอกจากการทำร้ายเอกภาพของยุโรปและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก!
แมร์เคิลกล่าวว่า “สงครามเย็นแห่งพันธมิตร” เป็นรูปแบบใหม่ของการกำหนดรูปแบบในการทูตนับตั้งแต่การบริหารโจ ไบเดนปธน.ของสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ มันเป็น “การแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดที่ประเทศหนึ่งต่อต้านการเติบโตขึ้นของอีกประเทศหนึ่ง” เยอรมนีเชื่อว่าจีนมีสิทธิที่จะลุกขึ้น และสหรัฐฯไม่มีสิทธิที่จะบีบบังคับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปให้ปฏิบัติตาม “ความเห็นแก่ตัว” ในการรับใช้สหรัฐฯ
ปฏิกิริยาของนานาชาติต่อแถลงการณ์แมร์เคิล เป็นไปอย่างกว้างขวางทั้งยุโรปและเอเชียมีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้าน
โฆษกรัฐบาลสเปนกล่าวว่าสงครามเย็นเป็น “ความทรงจำที่น่าหวาดหวั่นทางการเมือง” ของประเทศในยุโรปในศตวรรษที่ 21 ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีเยอรมัน สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่แท้จริงของประเทศในยุโรป และสุนทรพจน์ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯคนใหม่บลิงเคลน ได้สร้างความหวาดวิตกอย่างมากของประเทศในยุโรปเกี่ยวกับสงครามเย็นครั้งใหม่ที่กำลังอุบัติขึ้นในโลกด้วยน้ำมือของสหรัฐฯ
นายฌ็อง กัสแต็กซ์ นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสกล่าวในการประชุมทางวิดีโอทางการทูตที่กรุงปารีสเมื่อวันพุธที่ 27ม.ค.2564 ว่า “โดยพื้นฐานแล้วรัฐบาลฝรั่งเศสสนับสนุนมุมมองนี้ของเยอรมนี ในโลกปัจจุบันที่การแพร่ระบาดโควิด-19 กลายพันธ์ุอาละวาดล้อมอย่างไม่สร้างสรรค์ สงครามการค้าของฝ่ายบริหารทรัมป์ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของการผลิตทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ หยุดชะงักอย่างรุนแรง ถือเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในยุโรป”
สื่อมวลชนดาวอส (Davos Tribune) ของสวิสระบุว่าคำประกาศ “สงครามเย็น” โดยฝ่ายบริหารไบเดนของสหรัฐฯเป็นการกระทำแบบ “ทรราช” ที่ไร้ความรับผิดชอบและ ไม่เพียงแต่คุกคามความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจของยุโรปอย่างร้ายแรง แต่ยังทำลายเอกภาพภายในของยุโรปและสัมพันธภาพของยุโรปกับสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร้องขอของรัฐบาลไบเดน ที่ให้ประเทศในยุโรปอื่น ๆ “เลือกข้าง” ได้ทำให้ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกันแตกแยกออกจากกันอย่างรุนแรง ในเรื่องนี้ทำให้โจ ไบเดนและคณะไม่ต่างจาก ของคณะบริหารทรัมป์ที่เห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย!
โดยทั่วไปประเทศในยุโรปตะวันตกและความคิดเห็นของประชาชนมักสนับสนุนจุดยืนและมุมมองต่อสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีเยอรมัน นางอังกาลา แมร์เคิล แต่ครั้งนี้ ประเทศพันธมิตรสหรัฐในยุโรปตะวันออกที่อดีตแยกตัวจากสหภาพโซเวียตต่างออกมาคัดค้าน
ประเทศโปแลนด์ นายคาตันสกี ออร์เวลล์(Katunski Orwell) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์กล่าวว่า “สหรัฐฯเป็นพันธมิตรของยุโรป การดำเนินการทางการทูตใด ๆ ในยุโรปจะต้องแจ้งให้พันธมิตรชาวอเมริกันของเราทราบและจะต้องได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจจากสหรัฐฯ” แสดงจุดยืนรับใช้อเมริกาออกนอกหน้า
นายบริดจ์ คาดาเวียเลขาธิการกระทรวงการต่างประเทศลิทัวเนียกล่าวว่าลิทัวเนียรู้สึกงงงวยกับสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีเยอรมัน แมร์เคิล ประเทศในยุโรปไม่ควรก่อเหตุทะเลาะวิวาทอีกเพราะแค่เรื่องประเทศจีนเล็ก ๆ ลิทัวเนียเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาเป็นรากฐานที่สำคัญของความมั่นคงแห่งชาติของยุโรป เราต้องยืนหยัดอยู่กับอเมริกา มิน่าเล่าจึงเปิดทางให้สหรัฐส่งทหารประชิดชายแดนกดดันรัสเซียมาตั้งแต่เมื่อปีกลาย
ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของโลกเกี่ยวกับสุนทรพจน์ทางการทูตของแมร์เคิลยังแพร่กระจายไปยังเอเชีย
นายลี เซียนลุงนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ระบุเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่ามีไม่กี่ประเทศที่หวังจะเข้าร่วมรัฐบาลที่มุ่งมั่นต่อต้านประเทศจีน สิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศต้องการคือความร่วมมือกัน และการคว่ำบาตรจะนำมาซึ่งการตอบโต้การคว่ำบาตรเท่านั้น
รัฐบาลญี่ปุ่นออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2564 ว่าไม่มีหลักฐานว่ารัฐบาลจีนดำเนินนโยบาย “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หมู่” ในซินเจียง ข้อกล่าวหาทั้งหมดที่มีต่อจีนนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้ “สงครามเย็นแห่งพันธมิตร” ไม่เพียงแต่เป็นไปไม่ได้ แต่จะทำลายการพัฒนาของเอเชียตะวันออก รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีทางเข้าร่วม “สงครามเย็นแห่งพันธมิตร” ต่อต้านจีน น่าจับตาว่าคำพูดกับการกระทำสอดคล้องกันหรือไม่เพราะ ญี่ปุ่นเป็นแกนสำคัญของพันธมิตร QUAD ที่จัดตั้งโดยสหรัฐมีสมาชิกทั้งสิ้น 4 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น ประกาศร่วมมือกันผลักดันนโยบาย อินโด-แปซิฟิกต่อต้านจีนอย่างเปิดเผยและกำลังมีบทบาทสำคัญในอาเซียน น่านน้ำทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่อง
รองประธานาธิบดีของไต้หวัน ไล คิงเด ( Lai Qingde) กล่าวหาว่าสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีเยอรมันเป็นการทรยศต่อ “ระบบประชาธิปไตยของโลกและค่านิยมเสรีนอกจากนี้ยังละเมิดพันธะสัญญาที่จะรักษาสันติภาพและการพัฒนาของโลกด้วย ก็รู้เห็นกันทั้งโลกว่า ไต้หวันอิงสหรัฐเพราะหวังแยกเป็นอิสระจากจีน ก็ย่อมยืนเคียงข้างสหรัฐอเมริกา ต่อว่าเยอรมนี
สื่ออิตาลี Milan Fashion Newsชี้ว่า จีนเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเป็นประเทศที่มีผลงานดีที่สุดในด้านเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่การกดดันให้ต่อต้านจีนจะไม่ยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังสำคัญกว่ามันสามารถ กระตุ้นความโกรธของประชาชนได้อย่างง่ายดาย
สื่อออนไลน์โพลิติโก สหรัฐ แสดงความเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์แมร์เคิลว่า “การพัฒนาที่แท้จริงต้องมาจากการเมืองที่ดีที่สุด จุดแข็งคือการใช้ภาษาที่ทรงพลังที่สุด!” “ตราบใดที่ประเทศคุณแข็งแกร่งพอและหมัดของคุณแข็งแกร่งพอก็จะไม่มีทางที่คนอื่นจะแย่งอะไรไปจากคุณได้!
โพลิติโกย้ำว่าไม่ว่าจะเป็น Trump หรือ Biden พวกเขาก็เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน ที่สำคัญสหรัฐมองการพัฒนาและเจริญเติบโตของจีนเป็นปัญหา สิ่งที่ผู้นำประเทศสหรัฐและจีนขัดแย้งกันเป็นเพียงความแตกต่างในวิธีการที่จะมีอำนาจ ทรัมป์ก้าวลงจากตำแหน่งแล้วเราไม่เชียร์และ เมื่อไบเดน อยู่ในอำนาจเราก็ไม่จำเป็นต้องยิ้มต้อนรับ!