จากที่ เมียว ยุนต์ โฆษกพรรคพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี (NLD) เปิดเผย อองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ, อู วินมิ่นท์ ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำคนอื่นๆได้ถูกควบคุมตัวโดยกองทัพเมียนมานั้น
ทั้งนี้การจับกุม อองซาน ซูจี เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังเกิดความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพเมียนมา ท่ามกลางกระแสข่าวว่าอาจเกิดการรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อล้มรัฐบาล โดยอ้างข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2563 ซึ่งพรรคของนางซู จี ได้รับชัยชนะถล่มทลาย
ต่อมา มีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า คณะรัฐประหารเมียนมาสั่งปิดด่านท่าขี้เหล็ก ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย พร้อมตัดการสื่อสารของประชาชนในพื้นที่ ขณะที่ความเป็นอยู่โดยทั่วไปยังไม่มีอะไรตึงเครียด ด้านพ่อค้าชายแดนหวังจะไม่ปิดยาวหลังผู้นำทหารของเมียนมา ที่นำโดย พลเอก Min Aung Hlaing ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก่อการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครอง ในช่วงที่กำลังจะมีการถ่ายโอนอำนาจจากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง
สำหรับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารทหารสูงสุดพม่า นั้นรับทราบกันว่าเป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ โดยเมื่อวันที่ 6 กรกฏาคม 2557 พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ในฐานะอาคันตุกะของกองบัญชาการกองทัพไทย ได้เดินทางมาให้กำลังใจ และประกาศพร้อมจะยืนอยู่ข้างกองทัพไทย
ขณะที่พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิทพลเอกเปรมในขณะนั้น เปิดเผยว่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย เข้าพบ พล.อ.เปรม ทั้งสองสนทนากันถูกคอ และก็ขอเป็นบุตรบุญธรรมของ พล.อ.เปรม เมื่อมกราคมปี 2555 โดยบอกว่า พล.อ.เปรม อายุเท่าบิดา แถมยังเป็นทหารเหมือนกัน จึงขอเป็นลูกบุญธรรม
เมื่อเดือนกันยายน 2556 พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ก็ได้เดินทางมา ซึ่งเป็นปลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อกระชับสัมพันธ์ทั้งด้านการเมือง การทหาร และด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจกต์ “ท่าเรือน้ำลึกทวาย”
อย่างไรก็ตาม พล.อ.มิน อ่อง หล่าย มาปรากฏตัวในเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 โดยเดินทางมาลงนามเพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ พล.อ.เปรม ที่ทำเนียบองคมนตรี หลังจากที่ได้มีการประสานงานผ่าน พล.อ.พรพิพัฒน์ ว่ามีความประสงค์ขอร่วมแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยังกล่าวเปิดใจหลังทราบข่าวการสูญเสีย พล.อ.เปรม ว่า เหมือนสูญเสียบิดาไปท่านหนึ่ง ตนได้พบกับพล.อ.เปรม เมื่อปี 2555 หลังจากที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส.เมียนมา โดยเป็นครั้งแรกที่ตนมาเยี่ยมเยือนที่กองบัญชาการกองทัพไทย และได้เข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.เปรม เป็นครั้งแรก ก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยอายุของท่านนั้นห่างจากพ่อของตนเพียง 1 ปี และพ่อของตนได้เสียชีวิตเมื่อปี 2545 และหลังจากนั้น 10 ปี ตนก็ได้พบกับ พล.อ.เปรม
“พล.อ.เปรม เป็นบุคลากรที่สำคัญเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มากมาย ทั้งการทหาร การเมือง และหลายๆด้านของประเทศไทย ส่วนใหญ่ที่ผมได้พบกับท่าน ก็จะพูดคุยในเรื่องของประสบการณ์ดีๆของท่านให้ฟัง และจะมีคำแนะนำว่าสิ่งใดที่ดี ที่ควรทำซึ่งเมื่อเจอกันก็จะพูดในเรื่องนี้ทุกครั้ง”
นอกจากนี้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเป็น ผบ.ทสส. ไม่เคยได้เข้าพบพล.อ.เปรม และเมื่อมีโอกาสได้พบก็ได้นั่งเคียงข้างกัน จับมือกัน คุยเรื่องสำคัญกัน จึงเปรียบเหมือนบิดาของตน คำสั่งสอนต่างๆก็มีมากมาย ทั้งทางด้านการเมือง ก็จะพูดถึงประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศตนเอง และท่านพูดอยู่เสมอว่า เราเกิดในแผ่นดินนี้ เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ และในฐานะที่ท่านเป็นประธานองคมนตรี ตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 มาโดยตลอด พล.อ.เปรม มักพูดอยู่เสมอว่าการลดจำนวนคนยากคนจน ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยมีคนจนประมาณ 10 ล้านคน
“ท่านก็ได้ให้ข้อคิด ในฐานะที่เราสองประเทศ เป็นประเทศทางการเกษตร ต้องพยายามลดคนยากจน โดยใช้การเกษตรดำเนินการ และท่านได้สอนการเป็นผู้นำ ซึ่งเราต้องเป็นตัวอย่าง ต้องมีความยุติธรรมกับชั้นผู้น้อยของเรา ซึ่งตนก็ปฏิบัติมาโดยตลอด และคำที่ท่านพูดอยู่เสมอว่า เมื่อทำอะไรให้ประเทศชาติเราต้องมีน้ำใจ และมอบใจให้กับประเทศชาติ”
ด้าน พล.อ.พรพิพัฒน์ พร้อมด้วย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ในขณะนั้น ได้นำ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และคณะ เดินทางมาเคารพศพพล.อ.เปรม ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง ที่พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ขณะที่ พล.อ.พิศณุ พุทธวงศ์ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษฯ และนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม เปิดเผยว่า พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้นำแนวคิดดีๆจาก พล.อ.เปรม ไปปรับใช้ที่ประเทศเมียนมา เช่น การเป็นผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตัวเป็นตัวอย่างที่ดี และเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
“ที่ผ่านมา พล.อ.เปรม ก็ได้ชื่นชม พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ว่าเป็นนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความคิดก้าวหน้าและรักประเทศชาติ” พล.อ.พิศณุ กล่าว