อดีตพระพุทธะอิสระ ดึงสติ ส.ส.ต้องทำหน้าที่ตามรธน. หากย่ำยีต่อสถาบันหลัก จะจัดการให้ถึงที่สุด!?!

2021

อดีตพระพุทธะอิสระ ดึงสติ ส.ส.ต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ หากเหยียดหยาม ย่ำยีต่อสถาบันหลักของชาติ ละเมิดต่อผลประโยชน์ของประชาชน จะดำเนินการอย่างถึงที่สุด!?!

จากกรณีที่พรรคก้าวไกล ก็ได้มีการยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททั้งหมด รวมถึง ม.112, ร่างแก้ไข พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560, และร่างแก้ไข พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เพื่อคุ้มครองและประกันเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามหลักการขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย

ต่อมา นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจตอนหนึ่งว่า ขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไข ม.112 ตามมติพรรค หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค ซึ่งตนยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมาและพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน ตนไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ ซึ่งเป็นมติพรรคได้ เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว

ในขณะเดียวกันทางด้าน นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 28 ม.ค.64 ถึงจุดยืนส.ส.พรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 หลังมีชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยนายคารม ประกาศไม่ร่วมลงชื่อร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 เช่นกัน โดยให้เหตุผลว่า ผมไม่เซ็นครับๆ บอกผ่านสื่อได้เลยว่า ผมไม่เซ็นครับ ไม่ทราบคนอื่นจะเซ็นหรือไม่ แต่ผมไม่เซ็น และบังคับผมไม่ได้ ผมเคยงดออกเสียงในเรื่องกฏหมายโอนกำลังพลฯ แต่เมื่อพรรคมีมติผมก็มีมารยาท ผมรู้กติกา ผมรู้ระดับความรุนแรง ผมจะตอบคำถามอย่างไร ถ้าผมมาสาบานตน แล้วผมอ่านรัฐธรรมนูญผมก็เข้าใจ แล้วผมมาเซ็นแก้ไข ม.112 แม้ว่าแนวความคิดทางกฏหมาย ผมก็มีความรู้อยู่บ้างว่า มุมมองเป็นแบบไหน แต่สรุปคือผมไม่เซ็น

พร้อมกับเปิดเผยความจริง เพื่อให้ทุกคนได้ทราบว่าเหตุผลจริงๆที่ตนเองนั้น ประกาศจุดยืนออกไปอย่างชัดเจนก็เนื่องจากว่า ตนเองนั้นไม่เห็นด้วยในเขิงหลักการ และก็มีประชาชนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับตนเอง พร้อมทั้งยังได้เปิดเผยถึง การที่ทัวร์ลงด่าตนเนรคุณนั้น แท้จริงแล้วนโยบายของพรรค ไม่เคยมีเรื่องนี้ ตอนที่ นายคารม จะเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค โดยเปิดเผยว่า ปัญหามีว่าเป็นนโยบายพรรคไหม ก็ต้องเรียนตรงๆว่า หลายคนที่ทัวร์ลงหาว่าผมเนรคุณอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆ เราเข้าใจอยู่แล้วว่าเราเป็น ส.ส. มาจากพรรคอนาคตใหม่ อันนี้ไม่มีปัญหา เราไม่ได้ลืมนะ แต่ตอนอนาคตใหม่ก็ไม่มีประเด็นที่จะแก้ 112 ไม่มีการชูเรื่องนี้ พอมาเป็นก้าวไกลเสนอประเด็นนี้มา โดยหลักการแก้กฎหมายก็เป็นหน้าที่ ส.ส.นั่นแหละ แต่การจะแก้กฎหมายต้องตกผลึกที่สุดในแง่ความคิด และยังพูดถึงกระแสรุนแรงการที่พรรคก้าวไกล จะขับไล่ออกจากพรรคว่า การขัดมติพรรค ไม่ทำตามเหมือนไม่มีมารยาท แต่บางอย่างเราก็มีหลักของเราเหมือนกัน จุดยืนบางอย่างกับมติพรรคไม่สอดคล้องกัน สมมติลงชื่อไปมีปัญหา กฎหมายรัฐธรรมนูญก็คุ้มครอง จะลงมติขับหรือไม่ ตนก็น้อมรับอยู่แล้ว

ล่าสุดทางด้าน อดีตพระพุทธะอิสระ  ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีของส.ส. ที่ต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ โดยระบุข้อความว่า

หากคิดว่าเป็นคนไทย ต้องทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
๓๑ มกราคม ๒๕๖๔

เจ้าตั้มแจ้งมาว่า มีบรรดาท่าน สส. ผู้ทรงเกียรติโทรมาขอให้ พุทธะอิสระ ช่วย ในกรณีฝ่ายค้านจะนำเอาญัตติที่เกี่ยวข้องกับ สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไปอภิปรายในรัฐสภา
ฉันจึงแจ้งเจ้าตั้มว่า ปล่อยให้ฝ่ายการเมืองเขาได้แสดงบทบาท ตามอำนาจหน้าที่ที่มีตามรัฐธรรมนูญกันบ้าง ไม่ใช่เอะอะอะไร ก็มาใช้บริการแต่ พุทธะอิสระ พวก สส. ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ล้วนต้องรู้ถึงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดีอยู่แล้วว่า

มาตรา ๕๐ บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(๒) เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยก หรือเกลียดชังในสังคม

หมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ

มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราชอธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ ส่วนที่ ๔ บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง

มาตรา ๑๑๕ ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภา ที่ตนเป็นสมาชิกด้วยคำดังต่อไปนี้

“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พศ.๒๕๖๑

หมวด ๑ อุดมคติของการเป็นสมาชิกและกรรมาธิการ

ข้อ ๖ สมาชิกและกรรมาธิการต้องจงรักภักดีและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ข้อ ๗ สมาชิกและกรรมาธิการต้องรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยเคร่งครัด
ที่ต้องยกกฎหมายรัฐธรรมนูญพร้อมคำปฏิญาณและประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และกรรมาธิการมาให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกัน ก็เพื่อให้พวกท่านได้รับรู้ว่า

พวก สส. และวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติ เขามีหน้าที่โดยตรงตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา กษัตริย์ และผลประโยชน์ของประชาชนอยู่แล้ว แต่หากใครผู้ใด กระทำการเหยียดหยาม ย่ำยีต่อชาติ ศาสนา และละเมิดต่อผลประโยชน์ของประชาชน เมื่อนั้นพวกเราประชาชนผู้จงรักภักดีจะได้ทำการเร่งรัดให้กระบวนการทางกฎหมาย ดำเนินการกับบุคคลผู้นั้นอย่างถึงที่สุด

ในขณะที่ทางด้าน นายปิยบุตร ก็ได้โพสต์ข้อความถึงกรณี ส.ส. ต้องเป็น “ผู้แทน” ของราษฎร มิใช่ “พนักงานของรัฐ” โดยบอกว่า สถาบันการเมือง พรรคการเมือง ส.ส. ส.ว. ที่มีอำนาจอยู่ ต้องมีความรับผิดชอบในการนำประเด็นไปทำต่อ จะช้าเร็ว-มากน้อย ก็ว่ากัน แต่ต้องไปขยับ อย่างน้อยที่สุด คือถ้าคุณเห็นว่าคนมาชุมนุม เขาเสียสละโดนคดีกันมาก ติดคุกทั้งชีวิต นับห้วงชีวิตอายุของคนคนหนึ่งอาจจะติดคุกยังไม่พอกับจำนวนคดีที่โดน อย่างน้อยๆ 3 ประเด็นข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในปี 2563 ก็ต้องขยับไปในแนวทางนี้

ถ้า ส.ส. ไม่ขยับเลย จะตอบเยาวชนประชาชน-อนาคตของประเทศ จะเป็นความหวังให้เขาได้อย่างไร ในขณะที่คนจำนวนมากไปเรียกร้อง แต่ถ้าวันหนึ่งเขาสิ้นหวังกับพรรคการเมือง นักการเมือง ผู้แทนราษฎร คราวนี้ระบบการเมืองจะปั่นป่วนโกลาหล ทุกๆ วินาทีที่อยู่ในสภา ทุกจังหวะโอกาสที่มี ควรจะต้องขับเคลื่อนได้มากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่สำเร็จ แต่คือเมล็ดพันธุ์ ขอให้ได้ขยับ ภารกิจสำคัญของผู้แทนราษฎรคือเรื่องแบบนี้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ “ผู้แทน” ของ “ราษฎร” ผู้ที่ได้เป็น ส.ส. ไม่ควรคิดว่า ส.ส. เป็น “อาขีพ” เมื่อเป็นแล้วก็ติดใจหลงใหลต้องเป็นอีก จนทำให้ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลยเพื่อ “ราษฎร” เพราะเกรงว่าจะถูกกลไกรัฐเข้าทำลายจนตนเองต้องถูกขับออกจากการเมือง ถ้า ส.ส. คิดว่า ส.ส. เป็น “อาชีพ” ต้องเป็นต่อไปเรื่อยๆ เขาจะขาดความเป็นอิสระ ขาดความกล้าหาญ และสยบยอมต่อกลไกรัฐ ไม่กล้าท้าทายปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ในท้ายที่สุด ส.ส. ก็จะกลายเป็น “พนักงานของรัฐ” ไป
หาก ส.ส. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพและอำนาจประชาชน กฎหมายที่แปลง “ประชาชน” ผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ให้กลายเป็น “ไพร่” แล้ว ส.ส. ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเท่านั้น เมื่อ ส.ส. ถูกทำให้เป็น “พนักงานของรัฐ” ไม่ใช่ “ผู้แทนประชาชน” แล้ว กลไกรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยก็ได้ครอบงำเบ็ดเสร็จ เมื่อสถาบันทางการเมืองที่ถืออำนาจรัฐไม่อาจสนองตอบความต้องการประชาชนได้ เมื่อนั้น “ประชาชน” จักปรากฏกายขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงกันเอง
#ยกเลิก112