โหรฟองสนานทำนายดวงเมืองหลังจะได้รับวัคซีนโควิด-19 ระบุว่า การขาดแคลน-แย่งซื้อวัคซีนโควิดกันจ้าละหวั่นไปทั่วโลกขณะนี้ รวมทั้งเมืองไทย มีเกณฑ์อธิบายทางโหร รวมทั้งยังพอจะใช้ทำนายแนวโน้มการคลี่คลาย-อุดมด้วยวัคซีนได้ด้วย ดังนี้
ภาพลัคนาโลก-เมืองรัตนโกสินทร์สถิตราศีเมษ
พฤหัสบดีจร (5) กับพระเสาร์จร (7) เดินอยู่ในราศีมังกร
พฤหัสบดีย้ายเข้าเดินในราศีกุมภ์รอบแรก 29 มีนาคม-27กันยายน 2564
รอบที่สอง 9 พฤศจิกายน 2564-8 เมษายน 2565
ก.การอัตคัดขาดแคลนกันไปทั่ว (ต้องขนาด-ขนานใหญ่) นั้น อธิบายโดยอ้างอิง ตำราโลกธาตุ ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ครูโหรผู้ล่วงลับ ในหนังสือโหราศาสตร์ในวรรณคดี ว่าเกิดจากการโคจรไป ร่วมราศี หรือ เล็ง คืออยู่ในราศีตรงข้ามกัน ของหัวหน้าดาวสองขั้วคือพฤหัสบดีจร (5) หัวหน้าดาวดีจอมขยาย-เจริญเติบโต-อุดมสมบูรณ์-วัฒนาถาวร กับพระเสาร์จร (7)หัวหน้าดาวร้ายตัวแทนโทษทุกข์ เทพเจ้าแห่งความระทม จอมจำกัดปริมาณ ความในหนังสือว่า
“บางตำราว่า พฤหัสบดีกับเสาร์เป็นคู่อริกัน ถ้าร่วม (ราศี) หรือเล็ง (อยู่ราศีตรงข้าม) ก็เกิดยุ่ง โลกก็ยุ่ง เช่น แผ่นดินไหวประหลาด หรือ เกิดการอัตคัดขาดแคลนทั่วกันไป..ผลที่เห็นในระยะที่ผ่านมาและกำลังเป็นไปคือ
ก.1 โลกยังไม่ยุ่งเพราะแผ่นดินไหวประหลาด แต่เกิดยุ่งเพราะโรคระบาดโควิด-19 ที่ดาวสองดวงนี้ร่วมราศีและมีดาวร้ายอื่นเป็นทั้งสื่อนำและผสมโรง คือตั้งแต่ปลายตุลาคม 2562 เป็นต้นมา-ประมาณกลางพฤศจิกายน 2563 (ร่วมกันทั้งในราศีธนูและมังกรถึง 3 ครั้ง) อันเป็นการเริ่มตื่นตัวจากโรคร้ายนี้ และ เป็นผลัดกันรุกรับระหว่างบุคลากรทางการแพทย์-วิทยาศาสตร์การแพทย์กับโรคร้าย
ผลที่ได้เริ่มเห็นระยะนั้นคือการอัตคัดขาดแคลนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ต้องใช้หน้ากากผ้า-ขาดแคลนชุดป้องกันโรคของบุคลากรทางการแพทย์ บางขณะต้องใช้ชุดซ้ำ-ขาดแคลนยาต้านไวรัส-ขาดแคลนเตียง-ขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจ-บางประเทศขาดแคลนหลุมฝังศพ ฯลฯ และสถานการณ์นี้เป็นไปกันทั่วโลก มากบ้างน้อยบ้าง สุดแท้แต่ประเทศใดดวงดีหรือร้ายในระยะนั้น
ส่วนประเทศไทยเป็นข่าวโด่งดังคือหน้ากากอนามัยหาย
ก.2 นับเป็นข่าวดีที่เริ่มมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมาอย่างแปลกประหลาดเหมือนกัน คือแทนที่จะใช้เวลานานนับสิบปีในการพัฒนา แต่ใช้เวลาประมาณสิบเดือน คือ ตั้งแต่ประมาณกลางสิงหาคม 2563 ที่รัสเซียเริ่มรับรองวัคซีนสปุตนิก+ต้นกันยายน 2563 จีนเผยแพร่วัคซีนซิโนแวค+ต้นพฤศจิกายน 2563 มีวัคซีนของไฟเซอร์ ตามมาด้วยโมเดอร์นา+แอสตร้าเซนเนก้า ฯลฯ
แต่แม้จะพัฒนาวัคซีนได้แล้ว แต่เป็นเพราะดาวสองดวงนี้ร่วมราศีกันอีกครั้ง คือ เริ่ม 5 ธันวาคม 2563 เป็นต้นมา จึงเริ่มอัตคัดอีกครั้ง โดยรอบนี้เป็นวัคซีนที่แต่ละประเทศแย่งกันซื้อ-ตลาดเป็นของผู้ขายไปทั่วโลก เกิดการขาดแคลนไปทั่ว โดยสถานการณ์นี้ทางโหรจะเป็นไปถึงประมาณ 29มีนาคม 2564
ส่วนของไทยก็เจอเข้ากับปรากฏการณ์ซื้อเร็วก็ว่า ซื้อช้าก็โจมตี วัคซีนถูกขยายเป็นเรื่องการเมืองเขย่าสถาบัน
ข.คาดการณ์วัคซีนจะมากขึ้นและอุดมไปด้วยวัคซีน ทางโหรจะเป็นปรากฏการณ์ที่พฤหัสบดีจร (5) หัวหน้าดาวดีที่ทางโหราศาสตร์ยกย่องว่า มีคุณูปการมาก เป็น ดาวที่คอยเวลาบันดาลให้มนุษย์มีแต่ความสุขสถาพร ให้มีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจซึ่งกันและกันในมวลหมู่มนุษยชาติ และยังเป็นตัวแทน แพทย์-วิทยาศาสตร์การแพทย์-ระบบสาธารณสุข-ยา ฯลฯ จะออกจากราศีมังกร-แยกจากการร่วมราศีกับพระเสาร์จร(7) ค่อย ๆ ชะลอ-หยุดความอัตคัด
พฤหัสบดีจร (5) จะเข้าไปเดินใน ราศีกุมภ์ ภพที่ สิบเอ็ด ซึ่งหมายถึง โชค-ความแคล้วคลาด-รอด ของ ทั้งโลก (ลัคนาเมษ)และ เมืองรัตนโกสินทร์ เป็นสองช่วงเวลาคือ
ช่วงแรกระหว่าง 29 มีนาคม-27 กันยายน 2564 (มีเดินผิดปกติ-5 ถอยหลังกลับมามังกรอีกครั้ง-อาจจะมีการทบทวนเรื่องวัคซีนหรือการรักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคนี้)
ช่วงที่สองระหว่าง 9 พฤศจิกายน 2564-8 เมษายน 2565
ไม่ว่าพฤหัสบดีจรจะเดินผิดปกติอย่างไร ด้วยศักดิ์ศรีของหัวหน้าดาวดี แถมยังเดินในภพสิบเอ็ด-ได้สิงหเกณฑ์ของโลกและเมืองรัตนโกสินทร์ด้วย ผู้เขียนจึงเชื่อว่าในที่สุดโลกก็คงอุดมด้วยวัคซีนโควิด-19-การรับมือกับโรคร้ายนี้จะค่อยๆ เข้ารูปเข้ารอย เพียงแต่หวังว่าอย่าให้แผ่นดินไหวประหลาดเกิดมาซ้ำเติม ไม่ว่าจะที่ใด-ประเทศไหนก็ตาม
ขณะที่ทางด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบแนวทางเกี่ยวกับการบริหารวัคซีนโควิด-19 ยึดหลักให้มีการกระจายวัคซีนอย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติจะบริหารแผนการฉีดวัคซีน และกระทรวงสาธารณสุขจะติดตามประเมินผลการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทยคนแรกได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นายกรัฐมนตรียังวอนให้คนไทย “ตั้งการ์ดสูง” และยังต้องใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ไปในสถานที่เสี่ยงและสถานที่แออัด
ในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 2/2564 ได้มีการรายงานลำดับกลุ่มเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด ดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้มีโรคประจำตัว 6 โรคกำหนด คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย
ระยะที่ 2 ช่วงที่มีวัคซีนเพิ่มขึ้น ขยายพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยกำหนดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่นอกเหนือจากด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสซื้อโควิด 19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก และผู้เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศ
ระยะที่ 3 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณเพียงพอ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนปฏิบัติงานในทุกมิติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแผนปฏิบัติการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแต่ละกลุ่มในรายละเอียด รวมทั้งการขนย้าย การขนส่งและการจัดเก็บวัคซีนเพื่อรักษาประสิทธิภาพวัคซีน ขณะเดียวกันได้มอบให้หน่วยงานต่างๆ เร่งประชาสัมพันธ์ สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย
อนึ่ง รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ภายในประเทศ โดยกลุ่มที่ก้าวหน้ามากที่สุดมี 3 ชนิด คือ ชนิด mRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์ ชนิด Protein subunit (Plant-based) ของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชนิด DNA โดยบริษัทไบโอเนท เอเชีย อยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือ หรือพัฒนาศักยภาพการขยายขนาดการผลิต เพื่อผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในอาสาสมัคร