Truthforyou

สถาบันฯโลกจัดไทยอันดับ 4 รับมือโควิดดีที่สุด สธ.เปิดแล้วพื้นที่ได้รับวัคซีนก่อน

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 64 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ. โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ว่า ตามเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด 19 ในระยะที่ 1 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่วัคซีนมีจำกัด โดยดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต กลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน บุคคลที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยนั้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการให้วัคซีนโควิด 19 ระยะที่ 1 โดยยึดหลักมีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพ และความเป็นธรรม โดยเบื้องต้นจะให้วัคซีนในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าและกลุ่มเจ้าหน้าที่ก่อน เนื่องจากส่วนใหญ่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีการศึกษาทดลองฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ในต่างประเทศ ช่วยป้องกันการป่วยอาการรุนแรง เพื่อรักษาระบบสุขภาพของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ และจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในการรับวัคซีน สำหรับพื้นที่ในการให้วัคซีน ได้แก่ พื้นที่ระบาดคือ จ.สมุทรสาคร และพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือพื้นที่สีแดงที่ ศบค.มีการปรับพื้นที่ใหม่ คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ

โดยสัปดาห์หน้าทางโครงการประเมินผลเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) จะสำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายว่า มีความต้องการฉีดวัคซีนเป็นอย่างไร เพื่อนำมาประเมินลำดับการให้วัคซีนเมื่อวัคซีนเข้ามาแล้ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเน้นย้ำเรื่องการดำเนินการสื่อสารกับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 และการฉีดวัคซีนไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะช่วยป้องกันควบคุมโรค แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ยังต้องคงมาตรการป้องกันโรค ได้แก่ สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง

ล่าสุด วันนี้ที่ 30 ม.ค.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan -o-Cha” ระบุว่า “สถาบันวิชาการชั้นนำของประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยผลการจัดอันดับประเทศที่รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก โดยประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 4 จากการสำรวจทั้งหมด 98 ประเทศทั่วโลก เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ เพราะคนไทยทุกคนมีส่วนร่วม และเราทุกคนควรภาคภูมิใจ
ผมเชื่อครับว่า คนไทย หากร่วมมือกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้

“ผมขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง ทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง อาสาสมัคร และส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมโดยทั่วกันทั้งประเทศ ด้วยการให้ความสำคัญในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในร้านค้าและสถานประกอบการของท่าน ที่สำคัญคือประชาชนคนไทยทุกคน ที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามแนวทางสาธารณสุข
เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้อีกครั้งด้วยความร่วมมือของทุกคน”

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีเดียวกันว่า คนไทยได้รับการยกย่องให้เป็นชนชาติที่ช่วยกันรับมือกับการระบาดของโควิด19 ได้ดีเป็นลำดับ 4 ของโลก
ความร่วมมือ ความมีวินัย ความอดทน และ ความเสียสละของคนไทยส่วนใหญ่ ที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข จึงทำให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่ควบคุมการระบาดได้เร็ว และมีผู้ป่วยอาการหนัก จำนวนน้อย และมีการสูญเสียชีวิต จำนวนน้อย เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศ.

ขณะเดียวกัน แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ​หรือ ศบค. แถลงข่าวรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันที่ 30 มกราคม 2564 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 930 ราย

โดยเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 916 ราย และจากต่างประเทศ 14 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมอยู่ที่ 17,953 ราย รักษาหายวันนี้ 109 ราย รวม 11,505 ราย เสียชีวิตเพิ่มวันนี้ 1 รายรวม 77 ราย และเหลือรักษาตัวอยู่ 6,371 ราย

ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ ติดเชื้อในแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน (แรงงานต่างด้าว) จากการคัดกรองเชิงรุก และสถานที่ที่รัฐจัดให้ หรือ State Quarantine

 

Exit mobile version