ภายหลังจากมีการโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. 2536 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่สมาชิกรัฐสภาและผู้ที่เกี่ยวข้องในวงงานรัฐสภา
โดยปรากฏชื่อของ ส.ส.พรรคก้าวไกล และอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ หลายคน ต่อมา นายศศิพัฒน์ พงษ์ประภาพันธ์ หรือ กาณฑ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง แนวร่วมคณะราษฎร 63 โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยเนื้อหาบางส่วนได้มีการเปิดเผยรายชื่อ ส.ส.พรรคก้าวไกล และอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่ขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์
หนึ่งในนั้น คือ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งได้ขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย รวมถึงมีการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับภรรยาด้วย
ขณะที่ทางด้าน ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กถึงนายคารมด้วยว่า “คารม พลพรกลาง ออกมาแก้ตัวในรายการหมาแก่กับแมวสาว ช่อง 9 อสมท. ว่าที่ขอเครื่องราชให้ตนเองและภรรยา บอกว่าเป็นการได้รับพระราชทานเครื่องราชนั้นเป็นไปโดยปริยาย ที่ขอให้ภรรยาด้วยก็เป็นไปตามกฎหมาย เพราะเป็นภรรยาตามกฎหมาย จุดยืนของผมไม่ใช่ของ ปิยบุตร ก้าวไกล อนาคตใหม่ อ้าวถ้าไม่อยากรับพระราชทาน ก็อย่าลงนามสิยังจะแถ”
ทั้งนี้ นายคารม ไม่เซ็นในร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สวนทางกับมติพรรคก้าวไกล พร้อมระบุอีกด้วยว่า ความเห็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ไม่ใช่ความเห็นของตน และยังบอกว่าได้เซ็นชื่อรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จริง และรู้สึกยินดีเนื่องจากตนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ต่อมา นายปิยบุตร รับออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้นายคารมในทันที โดยระบุว่า ส.ส. ต้องเป็น “ผู้แทน” ของราษฎร มิใช่ “พนักงานของรัฐ” สถาบันการเมือง พรรคการเมือง ส.ส. ส.ว. ที่มีอำนาจอยู่ ต้องมีความรับผิดชอบในการนำประเด็นไปทำต่อ จะช้าเร็ว-มากน้อย ก็ว่ากัน แต่ต้องไปขยับ
อย่างน้อยที่สุด คือถ้าคุณเห็นว่าคนมาชุมนุม เขาเสียสละโดนคดีกันมาก ติดคุกทั้งชีวิต นับห้วงชีวิตอายุของคนคนหนึ่งอาจจะติดคุกยังไม่พอกับจำนวนคดีที่โดน อย่างน้อย ๆ 3 ประเด็นข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในปี 2563 ก็ต้องขยับไปในแนวทางนี้
ถ้า ส.ส. ไม่ขยับเลย จะตอบเยาวชนประชาชน-อนาคตของประเทศ จะเป็นความหวังให้เขาได้อย่างไร ในขณะที่คนจำนวนมากไปเรียกร้อง แต่ถ้าวันหนึ่งเขาสิ้นหวังกับพรรคการเมือง นักการเมือง ผู้แทนราษฎร คราวนี้ระบบการเมืองจะปั่นป่วนโกลาหล
ทุก ๆ วินาทีที่อยู่ในสภา ทุกจังหวะโอกาสที่มี ควรจะต้องขับเคลื่อนได้มากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่สำเร็จ แต่คือเมล็ดพันธุ์ ขอให้ได้ขยับ ภารกิจสำคัญของผู้แทนราษฎรคือเรื่องแบบนี้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ “ผู้แทน” ของ “ราษฎร” ผู้ที่ได้เป็น ส.ส. ไม่ควรคิดว่า ส.ส. เป็น “อาขีพ” เมื่อเป็นแล้วก็ติดใจหลงใหลต้องเป็นอีก จนทำให้ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลยเพื่อ “ราษฎร” เพราะเกรงว่าจะถูกกลไกรัฐเข้าทำลายจนตนเองต้องถูกขับออกจากการเมือง
ถ้า ส.ส. คิดว่า ส.ส. เป็น “อาชีพ” ต้องเป็นต่อไปเรื่อยๆ เขาจะขาดความเป็นอิสระ ขาดความกล้าหาญ และสยบยอมต่อกลไกรัฐ ไม่กล้าท้าทายปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ในท้ายที่สุด ส.ส. ก็จะกลายเป็น “พนักงานของรัฐ” ไป
หาก ส.ส. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพและอำนาจประชาชน กฎหมายที่แปลง “ประชาชน” ผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ให้กลายเป็น “ไพร่” แล้ว ส.ส. ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวัน ๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเท่านั้น
เมื่อ ส.ส. ถูกทำให้เป็น “พนักงานของรัฐ” ไม่ใช่ “ผู้แทนประชาชน” แล้ว กลไกรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ประชาธิปไตยก็ได้ครอบงำเบ็ดเสร็จ
เมื่อสถาบันทางการเมืองที่ถืออำนาจรัฐไม่อาจสนองตอบความต้องการประชาชนได้ เมื่อนั้น “ประชาชน” จักปรากฏกายขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงกันเอง
ล่าสุด นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ อดีตผู้สมัคร ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ หัวหน้าการ์ดราษฎร “กลุ่ม WEVO” โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก โตโต้ ปิยรัฐ – Piyarat Chongthep ว่า หากพรรคเลือก คนอย่างนายคารมให้อยู่ต่อ ผมขอยุติการสนับสนุน #พรรคก้าวไกล
ในฐานะสมาชิกตลอดชีพพรรคก้าวไกล ผมจะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค หากพรรคยังปล่อยให้มีคนอย่างคารม ที่เห็นด้วยกับ ม.112 ใน #พรรคก้าวไกล
นอกจากนี้ นายปิยรัฐ ยังโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วยว่า “หัวหน้าพรรคที่ชื่อธนาธรพามึงได้เป็น สส มึงยังเนรคุณได้ มึงรู้หรือป่าวว่าเขาพึ่งถูกแจ้งข้อหา ม.112”