จากที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.เพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน ได้ออกมากล่าวถึงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยหวังได้จัดเวลาการอภิปรายครั้งนี้ 5 วันแล้วลงมติ 1 วัน
ส่วนในเนื้อหาที่หลายพรรคอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความล้มเหลว เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องสังคม เป็นต้น ก็คุยกันว่าเรื่องเดียวกันและแบ่งเนื้อหาให้อภิปรายรับลูกรับช่วงกันอย่างไร อีกทั้งมีการประเมินสถานการณ์ในการประชุมด้วยว่าบรรยากาศในการประชุมจะเป็นอย่างไร จะมีการประท้วงมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่วิปรัฐบาลยืนยันให้เวลาอภิปรายเท่ากับการอภิปรายปี 2563 นั้น นายสุทิน กล่าวว่า ต้องพิจารณาดูว่าให้เวลาแค่นั้นเหมาะหรือไม่ เมื่อผู้อภิปรายมีจำนวนมาก ข้อหาเยอะ และรัฐบาลก็ทำงานมานาน ความผิดเยอะแล้วจะให้เวลาอภิปรายเท่าเดิม อธิบายได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องเหตุและผล ในอดีตเคยอภิปรายกัน 7 วัน 7 คืน ซึ่งก็จะต้องมีการพูดคุยอีกครั้งหลังจากที่ประธานสภาฯ บรรจุวาระแล้ว
ทั้งนี้เมื่อถามว่า ในญัตติมีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลนำสถาบันมาสร้างความขัดแย้ง ฝ่ายค้านมีกรอบการอภิปรายอย่างไร เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหว นายสุทิน กล่าวว่า ก็คิดกันอยู่ทุกคน ก็ตระหนักว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวและต้องพูดถึงเท่าที่จำเป็น และต้องใช้วุฒิภาวะขั้นสูงในการที่จะพูดเรื่องนี้ แต่จะไม่พูดเลยก็ไม่ได้ เพราะเป็นความเสียหายอยู่จริง
“ถ้ารัฐบาลทำความเสียหายให้กับสถาบันแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่มาก จะกระทบอะไรอีกมาก ถ้าเราไม่กระตุ้น เตือน กระตุก ติง หรือต้องคาดโทษกัน เกรงว่าเรื่องอย่างนี้จะกลายเป็นการชินชาที่จะปฏิบัติ ก็จำเป็นต้องพูด”
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเมื่อพูดเรื่องนี้ก็อาจจะถูกประท้วงมาก ซึ่งคนประท้วงก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะคนพูด คนประท้วง ถ้าประท้วงไม่ดีก็จะกลายเป็นว่าตัวเองทำผิดเสียเอง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องใช้วุฒิภาวะขั้นสูงระมัดระวังที่สุด
ถามว่า เรื่องสถาบันสามารถนำมาอภิปรายได้ใช่หรือไม่ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า สามารถอภิปรายได้ แต่อยู่ที่ความเหมาะสม ซึ่งมีข้อบังคับว่าให้พูดเท่าที่จำเป็น และพูดอย่างไรให้เข้าใจกันโดยไม่เสียหาย และไม่กระทบข้อบังคับ บางครั้งคนเราไม่พูดตรงก็พอจะรู้เรื่อง
นอกจากนี้เมื่อถามว่า หลังการอภิปรายฝ่ายค้านจะไปยื่นถอดถอนรัฐมนตรีต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วย นายสุทิน กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องถ้ามีการทุจริต พบความกระทำผิด เรื่องไหนที่ต้องทำให้จบครบถ้วยกระบวนการก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกครหาว่าฝ่ายค้านทำไม่สุด
“ดังนั้น การดำเนินการกับผู้กระทบผิดก็ต้องทำทั้งในสภาฯ และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจากหลักฐานแล้วมีรัฐมนตรีที่ต้องไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่า 5 คน แต่จากนี้เป็นต้นไปจนถึงวันอภิปรายก็จะต้องสกรีนข้อมูลอีก”
ล่าสุดวันนี้ 28 ม.ค. 64 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาได้ร่วมประชุมวิปฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานในที่ประชุม โดยได้มีหารือกันถึงความไม่สบายใจของหลายฝ่าย เกี่ยวกับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ยื่นมาก่อนหน้านี้ และมีข้อความ “ไม่ยึดมั่นและศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำลายและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง”โดยในที่ประชุม ประธานสภาฯระบุว่าไม่ได้เป็นการบังคับ เพราะถึงแม้ว่าฝ่ายค้านจะไม่แก้ไขก็บรรจุญัตติตามขั้นตอนอยู่แล้ว แต่ทางนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน ขอรับไปแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าว
นายสิระ กล่าวต่อว่า ในส่วนของข้อมูลในการอภิปรายเปิดกว้างให้สามารถอภิปรายได้ แต่ขอให้อย่ามีข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถาบันมาอ้างถึงในญัตติ เพราะมีความไม่เหมาะสม โดยส่วนว่าจะแก้ไขอย่างไรนั้น ถือเป็นดุลยพินิจของทางฝ่ายค้านที่จะไปแก้ไข ซึ่งในที่ประชุมก็มีตัวแทนของพรรคก้าวไกลรับทราบด้วย
“ผมขอขอบคุณฝ่ายค้านที่ยอมแก้ไขญัตติ และขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือ เพื่อทำให้ประชาชนและสังคมสบายใจกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้”นายสิระ กล่าว