จากกรณีพรรคก้าวไกลได้เตรียมจะยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททั้งหมด รวมถึงมาตรา 112
ร่างแก้ไข พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560, และร่างแก้ไข พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 เพื่อคุ้มครองและประกันเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามหลักการขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
โดยพรรคก้าวไกลยืนยันว่า นโยบายเช่นนี้ของรัฐบาล ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการรับมือต่อการแสดงออกทางการเมืองของนักเรียน นักศึกษา ที่มีการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะนอกจากจะไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งและความเห็นต่างทางการเมืองได้แล้ว การบังคับใช้มาตรา 112 ในสถานการณ์ปัจจุบันจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนแย่ลงในสังคมประชาธิปไตย ผมหวังว่านิวจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันนี้ เพื่อสามารถออกมาใช้สิทธิในการต่อสู้คดีและขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใช้มาตรา 112 รวมทั้งกฎหมายความมั่นคงอื่นๆ เป็นเครื่องมือปราบปรามทางการเมืองและละเมิดสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน
โดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้เคยพูดในรายการถามตรงๆกับจอมขวัญ ถึงความคิดเห็นที่มีต่อ กฎหมายมาตรา 112 เนื้อหาได้มีบางส่วนพูดถึงการมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพูดคุยและข้อกฎหมายมาตรา 112 โดยนายปิยบุตรได้เสนอว่าควรมีการปรับแก้ไขกฎหมายข้อดังกล่าวจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายแพ่ง และมีโทษเป็นปรับก็เพียงพออแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือกฎหมายมาตรา112 นั้นอยู่ในหมวดความมั่นคง ทำให้ไม่สามารถประกันตัวได้ และมีโทษที่สูงมากจนเกินไป”
และเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 64 นายปิยบุตร ได้ยอมรับว่าต้องการให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา112 โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
“ยกเลิก 112 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีปัญหาในทุกมิติ ทั้งในแง่ของตัวบทกฎหมาย ในแง่ความไม่ได้สัดส่วนของอัตราโทษ ในแง่การนำมาใช้และตีความ ในแง่ของอุดมการณ์ที่กำกับอยู่เบื้องหลัง ดังที่ผมเคยแสดงความเห็นไว้ในหลายโอกาส
ปัจจุบัน สถานการณ์การนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้ ก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีทีท่าจะแรงต่อเนื่องไปอีก ผมจึงมีความเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งเป็น “ผู้แทน” ของ “ราษฎร” ต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 โดยเร็วที่สุด
ในการณ์นี้ อาจใช้โอกาสยกเลิกความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น ทั้งระบบไปในคราวเดียวกัน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ประมุขรัฐต่างประเทศ เอกอัครราชทูต ศาล เจ้าพนักงาน ไปจนถึงบุคคลธรรมดา ให้ไปว่ากล่าวกันทางแพ่ง และควรแก้ไขกฎหมายหมิ่นประมาททางแพ่ง ให้มีเหตุยกเว้นความผิดในกรณีวิจารณ์โดยสุจริต เป็นประโยชน์สาธารณะ ด้วย
การยกเลิกความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับหลักสากล และนานาอารยประเทศ ในศตวรรษที่ 21 ไม่ควรมีใครถูกจำคุกเพียงเพราะการใช้เสรีภาพในการแสดงออก
เราปล่อยให้ “อนาคตของชาติ” โดนตั้งข้อหา ดำเนินคดีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเขาเสียสละเสรีภาพ และอาจรวมถึงร่างกาย ชีวิตด้วย เพื่อการต่อสู้ เทียบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แล้ว สิ่งที่เสียไปน้อยกว่าพวกเขามาก ต้องไม่ลืมว่า เงินเดือน ตำแหน่ง คะแนนเสียงจำนวนมาก ของ ส.ส.หลายคน ก็มาจากพวกเขา ดังนั้น การแสดงความกล้าหาญ ต่อสู้เพื่อพวกเขา เพื่ออนาคตของชาติ เพื่อประเทศไทย ด้วยการผลักดันแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างยิ่ง
กลางเดือนมีนาคม 2561 สมัยผมเริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผมยอม “กลืนเลือด” ตัดสินใจขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของผมอย่างสิ้นเชิงมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้ 112 ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดอุปสรรคขัดขวาง ให้พรรคก่อตั้งได้ ให้พรรคได้ไปต่อ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้ เพื่อฝ่าแรงเสียดทานจนไปสู่การลงเลือกตั้งได้ และด้วยหวังว่าเขาจะปรานีให้พรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง
นั่นกลายเป็น “ตราบาป” ที่ฝังในจิตใจของผม และเป็น “แผลเป็น” ในชีวิตทางการเมืองของผม จนวันนี้ก็ยังคงก่อกวนอยู่ในความคิดจิตใจของผมเสมอ
มาถึงวันนี้ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เสียงสนับสนุนให้ยกเลิก 112 มีมากกว่าเดิมเยอะ ประชาชนจำนวนมากพร้อมสนับสนุน และ “อนาคตของชาติ” พร้อมเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ให้กับ ส.ส.
ผมทราบดีว่า แม้ ส.ส.จะร่วมกันเสนอร่าง พ.ร.บ. ยกเลิก 112 แล้ว ก็อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อาจเจอกลยุทธ์เตะถ่วงไม่ใช่ “วาระด่วน” ต้องต่อแถวญัตติอื่นๆจนสภาหมดอายุก็ยังไม่ได้พิจารณา แต่อย่างน้อย การเสนอร่างฯเข้าไปก่อน ก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับการรณรงค์ กดดันต่อเนื่องต่อไป
“รัฐบุรุษ” กับ “นักการเมือง” ต่างกันตรงที่นักการเมืองคิดถึงการเลือกตั้งครั้งถัดไป แต่รัฐบุรุษคิดถึงอนาคตของชาติ คิดถึงคนรุ่นถัดไป เมื่อท่านพูด คนจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำ คนจะเชื่อ”
อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เปิดเผยในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ว่า ตนจะไม่ลงชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขพิ่มเติมกฎหมายมาตรา 112 และใครก็บังคับตนไม่ได้ เนื่องจากความเห็นของนายปิยบุตรไม่ใช่ความเห็นของตน และตนก็คิดไม่เหมือนนายปิยบุตร จุดยืนของพรรคก้าวไกลบางอย่างก็ไม่ใช่จุดยืนของตน
ล่าสุด วันที่ 28 มค. นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวว่า
“ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค ศรีราชา
กระผมนาย ขวัญเลิศ พานิชมาท (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี)
ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ที่กระผมต้องทำการขออนุญาตใช้เอกสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้รับมาจากการที่พี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ได้เลือกกระผมในฐานะตัวแทนผู้สมัครรับเลือกในนาม พรรคอนาคตใหม่
กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค) ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา
และพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากพี่น้องประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน กระผมไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ ซึ่งเป็นมติพรรค ได้ เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว
พรรคอนาคตใหม่หรือก้าวไกลเป็นพรรคที่ดีและมีอุดมการณ์ ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ส่วนตัวผมทำงานในพื้นที่ควบคู่กันไป ผมมีความต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ห่วงใยปากท้องชาวบ้าน จึงอาจไม่มีบทบาทมากนักในสภา
สุดท้ายนี้กระผมไม่เคยลืมตัว และยังสำนึกในพระคุณของพรรครวมถึงพี่น้องประชาชน
ที่ได้ให้โอกาสกระผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ ครับ”
ทั้งนี้ นายขวัญเลิศยังได้โพสต์ประชาสัมพันธ์ รถพระราชทานตรวจหาเชื้อชีวนิรภัย ให้บริการตรวจเชิงรุกฟรี แก่ประชาชน ใน อ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรีอีกด้วย