กองปราบฯ เตรียมตั้งข้อหา “แม่และน้องชาย” ธนาธร ติดสินบน 20 ล้าน หวังฮุบที่หลวง!!

5119

กองปราบฯ เตรียมแจ้งข้อหา “แม่และน้องชาย” ธนาธร คดีติดสินบน 20 ล้านให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ แม้อ้างถูกหลอก แต่ก็ไม่รอด!?!

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2564 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์สดทางเพจคณะก้าวหน้าในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทานฯ : ใครได้-ใครเสีย?” เปิดเผยข้อมูลสำคัญว่าด้วยการจัดหาและผลิตวัคซีนโควิดในประเทศไทย ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง, ทำไมประเทศไทยได้วัคซีนช้า, และทำไมรัฐบาลถึงจัดหาวัคซีนได้ไม่ครอบคลุมจำนวนประชากรที่เหมาะสม ซึ่งหลายคนมองว่านายธนาธร พยายามที่พูดโจมตี บริษัทผลิตวัคซีน ที่หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เพื่อคนไทย ที่มาจากพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9

และได้มีการออกมาเรียกร้้องให้นายธนาธรออกมาชี้แจงถึงกรณีของนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้มีการจ่ายเงิน 20 ล้านบาทให้กับบุคลากรคนหนึ่งของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ หวังจะได้สัมปทานที่ดินทำเลทองย่านชิดลม แต่กลับกลายเป็นว่า โดนเขาหลอกอีกที เนื่องจาก บุคลากรคนนั้นไม่มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์สินที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็เป็นที่จับตามมองและวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ทำไม นายสกุลธรถึงยังไม่ถูกดำเนินคดี

และคดีของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ แม่ของนายธนาธร ที่มีคดีบุกรุกป่าสงวน โดยทางอธิบดีกรมป่าไม้ และผอ. สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า หอบหลักฐานแจ้งความกับตำรวจบก.ปทส. เอาผิดกับ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ หลังตรวจสอบพบมีการบุกรุกที่ดินใน จ.ราชบุรี

ล่าสุด คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ได้เชิญผู้แทนจากกองบังคับการปราบปราม ชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดี กับนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด น้องชาย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ก ให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อต้องการเช่าที่ดินโดยไม่ผ่านการการประมูลตามกระบวนการ จนนำมาสู่การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯในฐานะผู้รับเงิน

หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา กรรมาธิการได้มีการเชิญอัยการเข้าชี้แจง และอัยการให้เหตุผลการไม่ฟ้องนายสกุลธร เนื่องจากพนักงานสอบสวนแยกสำนวนออกมาดำเนินคดีเป็นอีกกรณี ส่วนการชี้แจงในวันนี้ กองบังคับการปราบปราม มี พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์ รองผู้บังคับการปราบปราม, พ.ต.อ.สัณห์เพชร หนูทอง ผู้กำกับการสอบสวน และ พ.ต.ท.หญิง บุญทิวา ลิ้มศิริลักษณ์ สารวัตรสอบสวน เข้าชี้แจง

ทางด้าน พ.ต.อ.สัณห์เพชร หนูทอง ผู้กำกับการสอบสวน ชี้แจงเหตุผลที่ต้องแยกสำนวนคดีนายสกุลธร ออกจากคดีของเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ที่กระทำความผิดในฐานะผู้รับเรื่อง จากกรณีของนายสกุลธร เป็นกรณีในฐานะผู้ให้ ที่เป็นคนละข้อกล่าวหา หากรวมสำนวนเดียวกันจะกลายเป็นการซัดทอดผู้ต้องหาทำให้คดีไม่มีน้ำหนักจากคำซัดทอด จำเป็นต้องแยกระหว่างคดีผู้ให้กับผู้รับตามเทคนิคของการทำสำนวน พร้อมยอมรับว่าเหตุผลที่คดีล่าช้า เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนว่าคดีนี้เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. หรือของกองบังคับการปราบปราม

แต่เมื่อ ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วว่าเป็นอำนาจของกองบังคับการปราบปราม ทางกองปราบฯ ก็ได้เรียกผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้มาให้ปากคำ ยืนยันว่าคดีนี้ทางกองปราบได้เตรียมออกหมายเรียกนายสกุลธร ให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว อยู่ระหว่างพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตามมาตรา 144 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานผู้ใดให้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เนื่องจากเป็นคนเดียวที่เซ็นชื่อในเช็คจ่ายเงิน แต่ในการแจ้งข้อหาต้องแจ้งในฐานะนิติบุคคลด้วย ทำให้จะต้องแจ้งข้อหาเพิ่มกับ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ

ด้าน พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์ รองผู้บังคับการปราบปราม ย้ำว่าการแจ้งข้อกล่าวหาครั้งนี้ แม้นายสกุลธรจะอ้างว่าถูกหลอก แต่ในฐานะนักธุรกิจควรทราบขั้นตอนการขอเช่าที่ดิน

อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการซักถามถึงประเด็นที่นายสกุลธร อ้างว่าถูกหลอกและเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ พ.ต.อ.สัณห์เพชร ชี้แจงว่ากรณีนี้มีข้อเท็จจริงจากเงินก้อนสุดท้าย จำนวน 10 ล้านบาท ที่จะจ่ายกัน หากมีการประชุมโครงการ แต่เมื่อการประชุมโครงการไม่เกิดขึ้นจริง นายสกุลธรจึงต้องการยกเลิกสัญญากับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ให้คืนเงิน และเมื่อมีการคืนเงินแล้ว นายสกุลธรก็ไม่ได้ดำเนินคดี ฐานฉ้อโกงกับเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวแต่อย่างใด