แกนนำม็อบฮ่องกง 12 คนถูกทางการจีนจับได้ที่ชายฝั่งเสินเจิ้น ขณะล่องเรือหนีหมายจะไปไต้หวัน สหรัฐฯแถลงหนุน รุ่งขึ้นครอบครัวแถลงข่าวขอคืนอิสรภาพให้ส่งตัวกลับ แต่จีนโต้กลับให้สหรัฐกลับไปดูแลบ้านเมืองให้ดีก่อนอย่ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่น เพราะตอนนี้ทั้งความรุนแรง การประท้วงต้านเหยียดผิว ปัญหาโควิด-19 ระบาด แลการช่วงชิงนำการเลือกตั้งวุ่นวายไปหมด สำหรับผู้บริหารฮ่องกงยันทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย
จากกรณีที่หน่วยยามฝั่งของจีนได้สกัดจับเรือเร็วลำหนึ่ง นอกชายฝั่งเมืองเซินเจิ้น ทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา แล้วควบคุมตัวผู้อยู่บนเรือทั้ง 12 คน ทั้งหมดเป็นม็อบฮ่องกง
โดยสื่อท้องถิ่นหลายแห่งรายงานว่าม็อบฮ่องกงเหล่านี้พยายามเดินทางหนีไปยังไต้หวันเพื่อขอลี้ภัยทางการเมือง หนึ่งในนั้นคือนายแอนดี หลี่ หนึ่งในแกนนำม็อบฮ่องกงหนีหมายจับ ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
ครอบครัวของม็อบฮ่องกงทั้ง 12 คนได้แถลงร่วมกันเมื่อวันเสาร์ (12 ก.ย.) เรียกร้องรัฐบาลจีนอนุญาตให้ผู้ที่ถูกจับกุมมีสิทธิ์พบกับทนายความที่จัดหาเอง ไม่ใช่บุคคลซึ่งฝ่ายจีนจัดหาให้ ขณะเดียวกัน ทุกคนควรได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงการแพทย์ขั้นพื้นฐาน และได้ติดต่อกลับมายังครอบครัวที่ฮ่องกงบ้าง แต่ “เหนือสิ่งอื่นใด” คือขออิสรภาพ ทุกคนต้องได้รับการปล่อยตัวกลับมายังฮ่องกง “อย่างปลอดภัย”
สหรัฐฉวยโอกาสแถลงท่าทีฟ้องสังคมโลกเมื่อเกิดกระแสข่าว แกนนำม็อบฮ่องกง 12 คนถูกจับ นายไมค์ ปอมเปโอ, รมว.กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ “แสดงความวิตกกังวลอย่างยิ่ง” ต่อสถานะของม็อบฮ่องกงทั้ง 12 คน ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนสวนกลับว่า สหรัฐควรไปแก้ไขปัญหาภายในบ้านตัวเองก่อนเถอะ เพราะตอนนี้มีปัญหามากมายทั้งปัญหาสังคม ปัญหาสีผิว #BLM และการแก้ไขวิกฤติ การระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ยังสาหัส อีกทั้งใกล้เวลาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯแล้ว
กม.ความมั่นคงฯเข้มงวดหนัก-ทำฝ่ายต้านชะงักชั่วคราว
เซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ รายงานว่า รัฐกิจจานุเบกษาของคณะผู้บริหารฮ่องกงเผยแพร่ประกาศของนางแคร์รี หล่ำ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ลงเวลาเมื่อ 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันอังคาร (30 มิ.ย.2563) ระบุว่า “กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่” ที่ลงนามโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หลังการอนุมัติภายในวันเดียวกัน ด้วยเสียงสนับสนุนเอกฉันท์ของคณะกรรมการประจำซึ่งเป็นองค์กรถาวรของสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ทั้ง 162 คน อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายนี้ไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง แต่นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะมีผลบังคับใช้กับทั้งพลเมืองฮ่องกงและชาวต่างชาติซึ่งมีถิ่นพำนักถาวรในฮ่องกง ตามที่ระบุในมาตรา 38 ของ “เบสิก ลอว์” ซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง
หากผู้ใดกระทำความผิดอาญาที่รวมถึงการแบ่งแยกดินแดน การล้มล้างอำนาจ การก่อการร้าย และการสมคบคิดกับกองกำลังต่างชาติ รวมไปถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลต่างประเทศใช้มาตรการคว่ำบาตร ถือเป็น “อาชญากรรม” โดยมีบทลงโทษขั้นสูงสุดคือ “จำคุกตลอดชีวิต” การปลุกระดมและยุยงส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชังและการเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่ง และคณะผู้บริหารฮ่องกง มีความผิดตามมาตรา 29 ของเบสิก ลอว์
ขณะที่การทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ซึ่งรวมถึงบริการยานพาหนะที่ใช้ในระบบขนส่งมวลชนถือเป็น “การก่อการร้าย” ผู้กระทำผิดนอกจากต้องรับโทษตามกฎหมายแล้ว จะไม่สามารถรับราชการและลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกระดับได้
นอกจากนี้ รัฐบาลปักกิ่งจะจัดตั้ง “สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ” ในฮ่องกง ที่มีระบบการทำงานและบุคลากรที่เป็นเอกเทศ หมายความว่า การดำเนินงานไม่ขึ้นกับขอบเขตอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการในฮ่องกง
ที่สำคัญ สำนักงานแห่งนี้สามารถ “แทรกแซง” การพิจารณาคดีความมั่นคงที่ถือว่าร้ายแรง ซึ่งการไต่สวนของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติอาจกระทำ “เป็นการภายใน” หรือในทางลับ หากคดีเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับความลับของรัฐ แต่จะมีการเปิดเผยผลการตัดสินต่อสาธารณชนในภายหลัง
ข้อกำหนดในกฎหมายระบุว่า ทั้งหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติและฮ่องกง สามารถร้องขอส่งมอบคดีแก่จีนแผ่นดินใหญ่ และการฟ้องร้องคดีจะดำเนินการโดยอัยการที่ได้รับการแต่งตั้งจากอัยการสูงสุดของประชาชน และการพิจารณาคดีจะมีขึ้นในศาลที่กำหนดโดยศาลศาลสูงสุดของประชาชน