หมอวรงค์ สอน ธนาธร ควรหาความรู้เพิ่มเติม และ กลับไปเคลียร์ปมทุจริตครอบครัว

2059

ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง สำหรับพฤติกรรมของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่แม้ว่าล่าสุด เจ้าตัวจะได้ออกมาแถลงถึงกรณีโดนแจ้งข้อกล่าวหาทั้งความผิดตามาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 โดยมีบางช่วงระบุว่า ถ้าประเทศไทยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ก็ยังเหมือนอยู่ในอุโมงค์ แม้จะมีแสงสว่าง แต่ก็ยังอยู่ในความมืดมิดอยู่กับ6เดือนที่ยังไม่มีวัคซีนมาฉีด คนไทยก็จะอยู่ในอาการหวาดผวา การออกมาพูดของตนนั้นเพียงวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

“ตนเห็นว่าพลเอกประยุทธ์ พยายามบิดเบือนเมื่อไหร่ที่ทำผิดพลาดก็จะใช้คดีความ มาปิดปากคนอื่น การที่ตนพูดเรื่องวัคซีนก็เพราะสงสัยว่าเป็นการเอื้อให้กับบริษัทเอกชนรายใดรายหนึ่งหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เองที่ทำให้ไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบสถาบันก็จะทำให้คนพิจารณามากขึ้นจากเรื่องนี้ และไม่ใช่ผมที่ดึงสถาบันมายุ่งกับเรื่องนี้ อย่าใช้คดีมาตรา112ปิดปาก การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ที่มาจากการสืบทอดอำนาจ เป็นการไม่จงรักภักดีสถาบัน เป็นศัตรูกับสถาบันรึเปล่า”

นอกจากนี้นายธนาธร ยังอ้างว่าไม่ได้เป็นคนเริ่มใช้คำว่า วัคซีนพระราชทาน เราไม่ได้เริ่มใช้ แต่มีคนใช้มาก่อน โดยนายธนาธร ได้เปิดคลิปพล.อ.ประยุทธ์ ขณะแถลงถึงการช่วยเหลือของรัฐบาลในเรื่องแก้ปัญหาโควิดซึ่งช่วงหนึ่งกล่าวถึงพระเมตตาของในหลวงที่ได้พระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย แต่คลิปที่นายธนาธรอ้างนี้ไม่มีช่วงไหนที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่าวัคซีนพระราชทาน อย่างไรก็ตามระหว่างการแถลงวันนี้นายธนาธร พูดย้ำหลายครั้งว่าการถูกดำเนินหมิ่นสถาบันนั้นเป็นคดีการเมือง เป็นการปิดปาก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุด นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า #ขอสอนธนาธร “วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายประเทศจัดหาวัคซีนได้มากกว่าจำนวนประชากร โดยบางประเทศได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ขณะที่ประเทศไทยเราแค่ 21.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

นี่คือข้อความที่นายธนาธรแถลง เรื่องวัคซีนโควิด และถือว่าบิดเบือนจากความเป็นจริง อาจจะไม่เข้าใจเรื่องทางการแพทย์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่เห็นคนอื่นทำในสิ่งที่ดีกว่าตนเองไม่ได้ ต้องพยายามนำเสนอว่าตนเองนั้น มีอะไรที่เหนือกว่า

ถ้าจำกันได้ ตั้งแต่เริ่มเป็นนักการเมือง เขาให้แสดงความโปร่งใส แต่ตนเองใช้ไบลด์ทรัสต์ เขาจะทำรถไฟความเร็วสูง แต่ตนเองจะทำไฮเปอร์ลูป เขาแจก 5,000 บาท แต่ตนเอง3,500 บาทถ้วนหน้าโดยไม่สูจน์ความจน มาถึงเรื่องวัคซีนโควิด ก็พยายามสื่อสารว่า มีบางประเทศจัดหาได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของประชากร เพื่อมาเกทับประเทศไทย

ผมขอเอาตัวเลขตัวเลข 200-300% ที่นายธนาธรเสนอ ก็รับรู้ว่ารู้ไม่จริงและบิดเบือน ด้วยหลักกการฉีดวัคซีน ในเชิงวิชาการของโรคระบาด ไม่มีใครฉีด100%ของประชากร เขาฉีดประมาณ 60-80%ของประชากร เพราะจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ตามมา การที่บอกว่าบางประเทศจัดหา 200-300%ของประชากร จึงพูดแบบมั่ว ๆ

ที่สำคัญคุณควรต้องศึกษาด้วยว่า ขณะนี้วัคซีนโควิด ยังไม่มีการทดลองในเด็ก จึงยังไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ฉีดในเด็ก แม้แต่ไฟเซอร์ เพิ่งจะเริ่มงานวิจัยไม่นาน ที่จะทดลองฉีดในเด็กอายุ 12 ปี และวิจัยในเด็กอายุ 15-16 ปี ในปัจจุบันเขาจึงห้ามฉีดในเด็กอายุ ต่ำกว่า 16 ปี

ที่สำคัญถ้าคุณไม่อคติจนเกินไป ได้พูดกับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประเทศเรามีประชากรประมาณ 66 ล้านคน ถ้าตัดเด็กอายุ 16 ปีลงมา จะเหลือประมาณ 55 ล้านคน หลักการฉีดวัคซีน และให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คิดที่ 60% เท่ากับว่าเราจะฉีด 33 ล้านคน ขณะนี้เราสั่งวัคซีนแล้ว ของแอสตร้า เซเนก้า 26 ล้านโด๊ส ของซิโนแวค 2 ล้านโด๊ส

ที่สำคัญการฉีดให้คนหลายสิบล้านคน ไม่ใช่ใช้เวลาแค่เดือนสองเดือน แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่านั้นมาก ส่วนเข็มที่สองห่างจากเข็มแรกประมาณเกือบหนึ่งเดือน ดังนั้น ในทางวิชาการ จึงไม่ใช่เลวร้ายอย่างที่นายธนาธรนำเสนอ ให้ประชาชนเข้าใจผิด

ที่สำคัญวัคซีนนั้นเป็นตัวเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย แต่ก็ยังอาจป่วยได้ แต่ไม่รุนแรง เมื่อเทียบสัดส่วนประชากรที่ป่วยกับจำนวนประชากร ในวงการแพทย์ถือว่า การที่ประชาชนไทยระมัดระวังตัวเอง การวางแผนเรื่องการฉีดวัคซีนนี้ จึงยังไม่เป็นปัญหา

ถ้านายธนาธรจะลดความอคติ ชิงชัง หาความรู้ทางวิชาการเพิ่มอีกสักหน่อยจะดีกว่านี้ ไม่ใช่เมื่อเจอความจริง ก็จะหันเหด้วยการจะดูเอกสารสัญญา ช่วงนี้นายธนาธรน่าจะทำตามผลโพลที่ประชาชนต้องการนั่นคือ

ประชาชนร้อยละ 96.6 แนะนำให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเคลียร์ปมที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย เช่น การบุกรุกป่าของมารดาของนายธนาธรฯ ภาษีเรือยอร์ช การปลดพนักงาน แรงงานของบริษัทฯ เงินบริจาคช่วยเหยื่อโควิดที่แจกไม่หมดนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น น่าจะดูดีกว่า