อัษฎางค์ แหก ธนาธร โดนจับได้คิดล้มเจ้าทำสำออยโดนรังแก ย้อนคลิปตบหน้า พ่อค้าถามรักเจ้าหรือไม่?

1889

จากที่วานนี้ (21 มกราคม 2564) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้แถลงถึงกรณีโดนแจ้งข้อกล่าวหาทั้งความผิดตามาตรา 112 และพรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 โดยมีบางช่วงระบุว่า ถ้าประเทศไทยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ก็ยังเหมือนอยู่ในอุโมงค์ แม้จะมีแสงสว่าง แต่ก็ยังอยู่ในความมืดมิดอยู่กับ6เดือนที่ยังไม่มีวัคซีนมาฉีด คนไทยก็จะอยู่ในอาการหวาดผวา การออกมาพูดของตนนั้นเพียงวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

“ตนเห็นว่าพลเอกประยุทธ์ พยายามบิดเบือนเมื่อไหร่ที่ทำผิดพลาดก็จะใช้คดีความ มาปิดปากคนอื่น การที่ตนพูดเรื่องวัคซีนก็เพราะสงสัยว่าเป็นการเอื้อให้กับบริษัทเอกชนรายใดรายหนึ่งหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เองที่ทำให้ไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบสถาบันก็จะทำให้คนพิจารณามากขึ้นจากเรื่องนี้ และไม่ใช่ผมที่ดึงสถาบันมายุ่งกับเรื่องนี้ อย่าใช้คดีมาตรา112ปิดปาก การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ที่มาจากการสืบทอดอำนาจ เป็นการไม่จงรักภักดีสถาบัน เป็นศัตรูกับสถาบันรึเปล่า”

นอกจากนี้นายธนาธร ยังอ้างว่าไม่ได้เป็นคนเริ่มใช้คำว่า วัคซีนพระราชทาน เราไม่ได้เริ่มใช้ แต่มีคนใช้มาก่อน โดยนายธนาธร ได้เปิดคลิปพล.อ.ประยุทธ์ ขณะแถลงถึงการช่วยเหลือของรัฐบาลในเรื่องแก้ปัญหาโควิดซึ่งช่วงหนึ่งกล่าวถึงพระเมตตาของในหลวงที่ได้พระราชทานความช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย แต่คลิปที่นายธนาธรอ้างนี้ไม่มีช่วงไหนที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่าวัคซีนพระราชทาน อย่างไรก็ตามระหว่างการแถลงวันนี้นายธนาธร พูดย้ำหลายครั้งว่าการถูกดำเนินหมิ่นสถาบันนั้นเป็นคดีการเมือง เป็นการปิดปาก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอัษฎางค์ ยมนาค ได้โพสต์แสดงความเห็นว่า “รู้อยู่เต็มอกตัวเองว่าคิดล้มเจ้า แต่เมื่อถูกจับได้ว่าคิดล้มเจ้า กลับแหกปากว่าโดนรังแก”

ถ้ายังจำคลิปตอนที่ธนาธรเดินสายช่วยหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. แล้วมีพ่อค้าในตลาดถามว่า คุณรักเจ้าหรือไม่ โดยขอคำตอบแค่ ใช่หรือไม่ใช่เท่านั้น ซึ่งมันคือ yes no question ที่ไม่ต้องมีคำอธิบาย แต่คำถามง่าย ๆ สั้น ๆ เพียงแค่นี้ธนาธรกลับตอบไม่ได้ หรือไม่กล้าตอบ แต่การที่ธนาธรไม่ยอมตอบ นั้นก็ทำให้เราได้คำตอบแล้ว ว่าเขารักหรือไม่รัก จริงหรือไม่

จากกรณี live สดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบริษัทผลิตวัคซีน ด้วยคำว่าวัคซีนพระราชทานพร้อมชาร์ทประกอบวาทะกรรมในวันนั้น เราเห็นข้อความหนึ่ง? ซึ่งมีคนอยู่เพียงประเภทเดียวเท่านั้นที่เรียกในหลวงด้วยคำแบบนั้น กษัตริย์………………ซึ่งเป็นที่ทราบกันอย่างดีในสังคมว่า คนประเภทดังกล่าวคือ กลุ่มคนที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และคิดล้มเจ้า ซึ่งโดยปกติแล้วคนไทย จะเรียกองค์พระประมุขของชาติ อย่างลำลองว่า…พระเจ้าอยู่หัว หรือในหลวง หรือแม้แต่ พ่อหลวง

แต่คนที่เรียกองค์พระประมุขว่า กษัตริย์…….เราและเขารู้อยู่เต็มอกว่า คน ๆ นั้นคือพวกคนล้มเจ้า เพราะฉะนั้น คำว่า กษัตริย์…….. ที่อยู่ในชาร์ทที่ธนาธร กำลังวิพากษ์วิจารณ์ บริษัทซึ่งก่อตั้งขึ้นในสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 มีหุ้นส่วนอยู่นี้ ซึ่งดำเนินการกิจการผลิตวัคซีนปัองกันโควิดให้คนไทยโดยไม่ได้หวังกำไร

แต่ธนาธรพยายามชี้ให้เห็นว่ามีการตุกติของรัฐบาลเพื่อให้บริษัทของในหลวงได้รับสิทธิ์ในการผลิตวัคซีนเป็นเรื่องของการทำทุจริต เพื่อมุ่งหวังกำไรหรือไม่นั้น เป็นความจงใจของคนที่ต่อต้านสถาบันฯ และเป็นพฤติกรรมของคนล้มเจ้า อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งเขา(กลุ่มคนล้มเจ้า) และเรา(กลุ่มผู้จงรักภักดี) ในสังคมไทยรู้ดี ว่าผู้ที่มักใช่คำว่า กษัตริย์…….. นั้นคือสัญลักษณ์ของกลุ่มคนต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และกลุ่มคนที่คิดล้มเจ้า

อย่ามาแถว่า โดนรัฐบาลรังแกด้วยการใช้ ม.112 ในการกำจัดศัตรูทางการเมือง แต่ควรยอมรับออกมาดี ๆ ว่า ตนเองและพรรคพวกคือกลุ่มคนต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ กล้าคิดกล้าทำ แต่ไม่กล้ารับ คือคุณสมบัติของคนกลุ่มนี้ ต่อต้านแต่กลับไม่กล้ารับว่าต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วเมื่อถูกจับได้ และมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ก็แหกปากออกมาแถว่าถูดยัดข้อหา ถ้าจะกล่าวหาว่า ม.112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง ก็อาจกล่าวได้ว่า ม.112 มีไว้กำจัดพวกที่ต่อต้านและคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชีวิตเท่านั้น ถ้าคิดจะเล่นการเมืองโดยไม่คิดล้มเจ้าจะกลัวอะไรกับ ม.112

กฎหมายมาตรา 112 นี้ มิได้กำหนดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือเพื่อกำจัดคนคิดต่างหรือศัตรูทางการเมือง แต่กำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นพระประมุขของชาติ ให้ไม่ถูกการเมืองเล่นงาน แต่ไม่วายที่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มุ่งจะเล่นงานสถาบันพระมหากษัตริย์ อาศัยกฎหมายมาตรา 112 เล่นงานพระมหากษัตริย์และรัฐบาลที่คอยปกป้องพระมหากษัตริย์ คนมีปัญญาจะใช้ปัญญาพิจารณา ได้ว่าเป็นจริงตามนั้น ในขณะที่คนไม่มีปัญญา ก็จะไม่มีปัญญาที่พิจารณา ว่าเป็นจริงตามนั้น

อย่างไรก็ตาม ย้อนไปก่อนหน้านั้น ที่ จ.ภูเก็ตเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา นายธนาธร ได้ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เพื่อช่วยหาเสียงให้กับนายสรวุฒิ ปาลิมาพันธ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ภูเก็ต หมายเลข 3 จากคณะก้าวหน้าภูเก็ต และผู้สมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ภูเก็ต

โดยได้เดินทางไปยังบริเวณตลาดนัดสี่กอ ต.กะทู้ อ.กะทู้ ซึ่งได้มีการแจกแผ่นพับนโยบายและแนะนำตัวผู้สมัครนายก อบจ. โดยช่วงแรกได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีและมีผู้มาขอถ่ายภาพรวมทั้งให้กำลังเป็นระยะ ๆ แต่หลังจากเดินไปได้สักครู่ใหญ่ ปรากฏว่าได้มีผู้เห็นต่างเริ่มทยอยเดินทางเข้ามามากขึ้นและมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์พร้อมตะโกนขับไล่ โดยตะโกนว่า “หนักแผ่นดิน หยุดจาบจ้วงสถาบัน” ซึ่งทางกลุ่มของนายธนาธร ก็ไม่ได้มีการตอบโต้แต่อย่างใด และพยายามเดินพูดคุยต่อ

แต่ระหว่างนั้นได้มีพ่อค้ารายหนึ่งได้เรียกให้นายธนาธร หยุด พร้อมบอกว่าตนเองขอสอบถามนายธนาธรว่า “นายธนาธร รักสถาบันหรือไม่รัก แค่อยากฟังคำตอบ” ก่อนที่นายธนาธรจะกล่าวว่า “ตนเองขอใช้สิทธิ์ไม่ตอบ” และเดินทางออกจากตลาด