ดร.นิว ถามเดือด ธนาธร ปฏิเสธพ่อตัวเองที่รักสถาบัน เป็นต้นแบบของเยาวชนสามนิ้วที่กล้าด่าพ่อแม่ของตัวเองใช่หรือไม่!?!
จากกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันมาโดยตลอด และมีการพูดโจมตีสถาบันหลายครั้ง สร้างวาทกรรมเพื่อปลุกระดมให้เยาวชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยล่าสุดมีการไลฟ์สดในเรื่องของวัคซีนพระราชทาน มีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญว่าด้วยการจัดหาและผลิตวัคซีนโควิดในประเทศไทย ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง, ทำไมประเทศไทยได้วัคซีนช้า, และทำไมรัฐบาลถึงจัดหาวัคซีนได้ไม่ครอบคลุมจำนวนประชากรที่เหมาะสม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาทางด้าน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความที่เรียกได้ว่าเจ็บปวด โดยการถามหาผู้ที่มีชื่อว่า “นายพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่ไม่มีปรากฎอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทไทยซัมมิท ซึ่งผิดวิสัยอย่างมากสำหรับการสำนึกในบุญคุณผู้ก่อตั้งบริษัทนี้ ที่ควรมีชื่อให้รุ่นต่อรุ่นได้ทราบ โดยระบุข้อความว่า
“มีใครพบเห็นชื่อ “พัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ” ในเว็บไซต์ของบริษัทไทยซัมมิทบ้างครับ?
สงสัยจังมีใครบางคนอยากลืมพ่อตัวเองจริงหรือเปล่า?”
ล่าสุดดร.นิว ได้โพสต์ข้อความตั้งคำถามไปถึงนายธนาธร ถึงกรณีดังกล่าวว่า
ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนี้ได้เผยแพร่บทสนทนา ทำนองว่า ถ้ามีลูกแบบนี้ พ่อกับแม่คงทุกข์ใจจนตาย แต่ตอนนี้พ่อยังไม่อยากจะเลือกตน ซึ่งเจ้าของทวิตเตอร์รายนี้ กล่าวว่า ตนก็พอๆ กับที่พ่อแม่ไปเลือกคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง อีกฝ่ายจึงตอบว่า หนูอยู่กับอุดมการณ์ไป พ่อฝากบอก เจ้าของทวิตเตอร์ยังกล่าวต่อว่า อุดมการณ์นี้เพื่ออนาคตของตนและของพ่อแม่ อีกฝ่ายก็ตอบกลับว่า พ่อกับแม่ผิดเอง ที่เลี้ยงลูกให้มีความคิดที่ดีไม่ได้ เจ้าตัวจึงกล่าวว่า พ่อแม่ไม่เห็นด้วยกับตน ตนไม่ว่าอะไร แต่พ่อกับแม่แยกแยะไม่ออกเอง เรื่องอุดมการณ์ กับความสัมพันธ์ครอบครัว ตนย้ำหลายรอบมากๆ ว่าจะไม่ให้กระทบครอบครัว
ภายหลัง เจ้าของทวิตเตอร์รายนี้ ได้คุยกับพ่ออีกครั้ง และพ่อยืนยันว่า จะเคารพสถาบัน ส่วนตนเองก็ยืนยันที่จะไม่เคารพสถาบัน และทางพ่อได้มีความพยายามจะเปลี่ยนใจตนเอง โดยพ่อเชื่อว่า เป็นหน้าที่ของครอบครัวที่ต้องเปลี่ยนใจตนเองให้ได้ แต่ตนเองได้ยืนยัน ที่จะไม่พูดถึงสถาบันอีก สุดท้ายได้ระบุว่า เรื่องดังกล่าวอาจทำให้ต้องใส่หน้ากากหาพ่อจนกว่าจะเรียนจบ และเตรียมแยกตัวออกจากครอบครัวไปเงียบๆ เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ต่างกัน