วันที่ 21 ม.ค. 2564 สำนักข่าวต่างประเทศต่างพร้อมใจกันรายงานข่าวว่า นายโจเซฟ ไบเดน วัย 78 ปี ได้เข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ด้านหน้าอาคารรัฐสภาฝั่งตะวันตก ในเวลาเที่ยงวันของวันที่ 20 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯหรือประมาณเที่ยงคืนของวันเดียวกันตามเวลาประเทศไทย ซึ่งนับว่าไบเดนเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
โดยพิธีเริ่มจากนางคามาลา แฮร์ริส อดีตวุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย วัย 56 ปี สาบานตนรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 49 อย่างเป็นทางการ นับเป็นสตรีผิวสีคนแรก ที่ดำรงตำแหน่งนี้ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
ตามด้วยนายโจ ไบเดน กล่าวสาบานตนเป็นลำดับต่อไป โดยมีนายจอห์น โรเบิร์ตส ประธานศาลฎีกาเป็นผู้ทำพิธี ซึ่งนายไบเดนได้กล่าวสาบานตนด้วยการยกมือขวา พร้อมวางมือซ้ายบนพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นฉบับของครอบครัว และไบเดนใช้ในพิธีสาบานตนทั้งตอนเป็นวุฒิสมาชิก และตอนเป็นรองประธานาธิบดีสมัยบารัก โอบามาทั้งสองครั้ง จากนั้นจึง เอ่ยคำปฏิญาณ
ข้าพเจ้าขอให้คำสาบาน จะปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดี สหรัฐฯอย่างซื่อสัตย์ และจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษา คุ้มครอง และปกป้องรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ก่อนกล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชน ท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนาจากกองทหารพิทักษ์มาตุภูมิกว่า 25,000 นาย
ปธน.ไบเดน ได้แถลงสุนทรพจน์เน้นย้ำชัยชนะของประชาธิปไตย หลังเผชิญเหตุการณ์กลุ่มผู้ประท้วงผลการเลือกตั้งบุกเข้ารัฐสภาเมื่อ 6 ม.ค.64 พร้อมกับเรียกร้องให้ชาวอเมริกันร่วมมือกันสร้างความปรองดอง เพื่อแก้ไขวิกฤตที่เป็นความท้าทายของสหรัฐฯ ทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปัญหาการว่างงาน การเหยียดผิว และปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มนิยมแนวทางรุนแรงในประเทศ
สำหรับบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมพิธีสาบานตนครั้งนี้ ประกอบด้วย นายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช จากพรรครีพับลิกัน และนางลอรา บุช ภริยา ตามมาด้วยนายบารัค โอบามา และนางมิเชล โอบามา ภริยา รวมทั้งนายบิล คลินตัน และนางฮิลลารี คลินตัน ภริยา โดยทุกคนที่ร่วมในพิธีต่างพากันสวมหน้ากากอนามัย
ด้านโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและเมลาเนีย ทรัมป์ เดินทางออกจากทำเนียบขาวตั้งแต่ช่วงเช้าด้วยเฮลิคอปเตอร์มารีน วัน ไปยังฐานทัพอากาศแอนดรูส์ในรัฐแมรีแลนด์ และกล่าวอำลาสั้นๆ ต่อกลุ่มผู้สนับสนุน มีการยิงสลุต 21 นัดแต่ไม่มีกองเกียรติยศตามที่ขอไว้ ก่อนขึ้นเครื่องบินประจำตำแหน่งแอร์ฟอร์ซวัน มุ่งหน้าสู่รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโกในรัฐฟลอริดา โดยไม่เข้าร่วมพิธีสาบานตนของนายไบเดน ตามที่ได้เคยประกาศไว้
โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 ในรอบ 100 ปีที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งกลับมาสมัยที่ 2 ตลอด 4 ปีแห่งการดำรงตำแหน่ง ได้ดำเนินนโยบายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตามสุนทรพจน์ที่ได้ให้ไว้ครั้งได้รับเลือกสมัยแรก ปี 2016 “America First” และทรัมป์เป็นคนฉีกหน้ากากอเมริกาให้โลกได้เห็นหลายอย่างที่เคยซ่อนไว้ภายใต้ภาพพจน์ ประชาธิปไตยต้นแบบ เป็นตำรวจโลก ที่ถืออำนาจตัดสินใครก็ได้ที่ไม่เหมือนตนเอง ถ้ายอมสยบก็มีรางวัล ถ้าขัดขวางจะถูกลงโทษทางเศรษฐกิจและการทหาร โดยไม่มีประเทศไหนคัดค้าน และไม่สนใจว่าจะผิดมารยาทหรือจรรยาบรรณสากลข้อไหน
โลกจับตา โจ ไบเดน ปธน.คนใหม่บนบัลลังก์อำนาจครอบโลก คาดหวังจะมาเปลี่ยนสถานการณ์เลวร้ายต่างๆที่ทรัมป์ละเลงไว้ ให้กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นทั้งในสหรัฐและโลก แต่คงไม่ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ท่ามกลางสงครามเชื้อโรค ที่สหรัฐยังครองที่ 1 ของโลกป่วยติดเชื้อโควิด-19 กว่า 94 ล้านคน เสียชีวิตแล้วกว่า 4 แสนราย ปัญหาความขัดแย้งผิวสี เศรษฐกิจถดถอย อุดมการณ์การเมือง 2 ขั้วขัดแย้งสุดโต่ง ความท้าทายเหล่านี้จะเปิดเผยความจริงอีกด้านของสหรัฐอเมริกาในไม่ช้า