Truthforyou

“รองหัวหน้าพรรคกล้า” ฟาดปาก สาวกม็อบล้มเจ้า จาบจ้วง “กรมสมเด็จพระเทพฯ” ชาญวิทย์ สมศักดิ์ เจียม ขยะภาระประเทศ

จากกรณี ที่หลังจากที่พิมรี่พาย ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ได้เดินทางไปที่ หมู่บ้านแม่เกิบ ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านและเด็กๆ

ซึ่งเหล่าคนที่มีอุดมการณ์ล้มล้างสถาบันได้ นำประเด็นดังกล่าวมาดจมตีเหน็บแนมจาบจ้วงพาดพิงไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วยถ้อยคำรุนแรงขาดการใช้สติปัญญาไตร่ตรอง

ต่อมา เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 64 นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“ผมแปะรูปมา 4 รูป
รูปแรก รูปในหลวง ร.9 ขึ้นดอย ที่คนไทยรุ่นผมขึ้นไปเกิดทัน “เห็น” การ “ลุย” ของท่าน การลุยของสมเด็จย่า ของพระราชินี ตั้งแต่ปลายด้ามขวานถึงยอดเขาสูงเพื่อหยุดความยากจนจริง


รูปที่ 2 คือพิมรี่พาย ที่เป็นอีก 1 แรงคนดี เหมือนในหลวง เหมือนสมเด็จย่า เหมือนค่ายอาสาตามมหาลัย เหมือนเจ๊ตุ้ก Jeeraporn Pakpinpetch เพื่อนผม และโบว์น้องสาว ที่ไปทำแบบเดียวกันทุกปีตามดอยต่างๆแค่สื่อไม่ทราบ เพราะไม่ชอบออกสื่อ

เหมือนผมในรูปที่ 3 ที่ผมไปตั้งแต่โครงการอาหารการกินผู้ยากไร้ ยันช่วยพ่อ และอาลดการตกเขียวของคนภาคเหนือ แต่กูไม่ได้ต้องป่าวประกาศให้ใครทราบ

รูปที่ 4 คือรูปในหลวงเก่าๆ ที่มีแปะอยู่ทั่วประเทศ
มันเก่าแบบที่ทำให้รู้ว่าไม่ได้มีใครจ้างให้แปะ แต่แปะด้วยเพราะรักการเป็นตัวอย่างของคนดีที่ลงมือทำ

คนอย่างในหลวง คนอย่างพวกเรา ไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่าการมองสังคมด้วยการ “ลงมือทำ” เพื่อแก้ปัญหา
อเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ก็ยังมีคนจน ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำ
ส่วนการแก้ปัญหาควายๆแบบด่าอยู่หน้าจอคอมพ์มันไม่ได้ประโยชน์อะไร
คนที่ทำอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่พวกขี้อิจฉา ก็คือไอ้พวกขี้แพ้ที่ไม่เคยคิดจะทำอะไรให้สำเร็จ
เหมือนชาญวิทย์ เกษตรสิริ เหมือนสมศักดิ์ เจียม
คนเหล่านี้ไม่เคยทำอะไรสำเร็จในชีวิตนอกจากด่าคน เพ้อฝันกับกองหนังสือ เลี้ยงหมา เพราะไม่มีเพื่อนแท้
สาวกคนพวกนี้ตามโซเชียลมีเดียก็ถึงเป็นคนแบบเดียวกัน
คือไม่เคยทำเหี้ยอะไรให้สำเร็จ
เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวซักร้าน หรือช่วยคนซักคน
แม่งไม่สำเร็จซักเรื่อง
รุ่นเก่าแม่งก็ด่า และหลอกนักเรียนอยู่หน้าห้อง
ส่วนสาวกรุ่นใหม่ก็ด่าอยู่หน้าคีย์บอร์ด
ก็เพราะมันมีปมด้อยที่ตัวเองทำอะไรไม่สำเร็จ เหมือนๆกัน
ด่าคนโน่น แซะคนนี้
ด่าเจ้า แซะในหลวง
แทนที่จะด่าต้นเหตุที่ สส. กับหน่วยงานรัฐโง่ๆตามจังหวัดเหล่านี้ที่วันๆคิดแต่โครงการโง่ๆเพื่อหางบแดก แต่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนตามที่ในหลวงท่านสั่งสอน
ป่าหายทีละแสนไร่ มันยังไม่เห็นกันเลย
ก่อนหน้านี้ผมมองว่าผมควรทำความเข้าใจกับคนเหล่านี้ คนอย่างชาญวิทย์ สมศักดิ์ และสาวกขี้แพ้นั่น
หลายปีผ่านไป ผมไม่พบว่าเข้าใจโจร หรือขยะ แล้วอะไรจะดีขึ้น
โจรขึ้นบ้าน ก็กระทืบแม่ง ไม่ใช่ชวนแม่งมาคุย”

และล่าสุด วันที่ 12 ม.ค. 64 นายพงศ์พรหม ได้โพสต์ พร้อมแนบภาพข้อความของสาวกม็อบล้มเจ้า ที่ได้โพสต์ชักจูงการล้มล้างสถาบันพาดพิงถึง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยภาพข้อความจาบจ้วงดังกล่าวมาจากข้อโพสต์ของผู้ใช้รายหนึ่งในกลุ่มเฟซบุ๊ก รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง โดยข้อความระบุว่า

“ใครที่ไม่เอา10 แต่รักพระเทพ นี่ควรคิดใหม่นะ ต้องเจริญทางความคิดได้แล้วนะคะ
คนที่อยู่เบื้องหลังกองทัพและการสังหารหมู่หลายๆครั้ง รวมไปถึงการบริจาคเลือดจากสภากาชาติ
ซึ่งมีพระเทพเป็นประธานหรือง่ายเป็นเจ้าของ การบริจาคเลือดหรือบริจาคร่างกายนั้น ก็เพื่อแบ่งให้ประชาชนส่วนนึง อีกส่วนที่เหลือ เป็นธุรกิจดำมืด มีทหารรายนึงในค่ายถูกซ้อมจนนตาย แต่ผลชันสูตรเครื่องในหายหมด และคดีนี้ยังไม่มีความคืบหน้า
สรุปแล้วสภากาชาติมันคือโรงงานขายเลือดขายเนื้อ ขายอวัยวะประชาชน ให้ต่างชาติ และสามารถเปลี่ยนถ่ายอวัยวะได้ทุกเมื่อ เมื่อคนในราชวงศ์มีปัญหา ต้องเปลี่ยนถ่ายเครื่องในหรือเลือด หยุดบริจาคเเลือดและอวัยวะให้สภากาชาติ”

ซึ่งนายพงศ์พรหม ได้แนบภาพโพสต์ดังกล่าว พร้อมเขียนข้อความระบุว่า
“ปีนี้เป็นปีที่ผมตัดสินใจว่าหมดเวลาในการประนีประนอมกับคนเหล่านี้ รวมถึงชาญวิทย์ เกษตรศิริ และสมศักดิ์ เจียม
ผมเข้าสู่การเมืองทั้งที่ไม่อยากทำการเมือง แต่เพราะต้องการปฏิรูปประเทศ

อีก 10 ปี 20 ปี ผมเห็นประเทศไทยที่ส่องแสงสว่างเทียบเท่า หรือสว่างกว่าสิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น
คนไทยมั่งคั่ง เท่าเทียมกันด้วยวิถีปฏิบัตินิยม (Pragmatism) คิด ทำ ล้ม สู้ คิด ทำ ล้ม สู้ กล้าทำจนสำเร็จ

แต่ต้องไม่มีประชาชนขยะแบบนี้มาเป็นภาระการก้าวหน้าของประเทศ
ถ้าโจรขึ้นบ้าน ก็ตามล่าให้เจอ แล้วกระทืบมัน ไม่ต้องชวนคุย”

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้เคยชี้แจงถึงจุดยืนของพรรคต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ว่า
” เรามีความชัดเจนและเชื่อมั่นในระบบการปกครองในระบอบประชาธิไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงวาทกรรม แต่เชื่อว่าระบอบนี้จะนำมาซึ่งความสงบสุข มั่นคงของประเทศไทยในอนาคต เพราะหากมองย้อนกลับไป 50-100 ปีที่ผ่านมาทุกองค์กร ทุกสถาบันของประเทศมีความยืดหยุ่นมาตลอด รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเหมาะสมตามสถานการณ์ เพื่อความสงบสุขประเทศ และเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เช่นเดียวกับสถาบันตุลาการ สถาบันการเมือง ก็ต้องยืดหยุ่นไปตามยุคสมัย”

ส่วนมุมมองของพรรคกล้าต่อกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชน นายกรณ์ กล่าวว่า เราพูดมาตลอด การชุมนุมสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยแต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ผู้ชุมนุมต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น แต่ต้องหลีกเลี่ยงกระทบกระทั่งจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง อยู่ในกรอบเคารพสิทธิของทุกคน “

Exit mobile version