สหรัฐเลี่ยงไม่พ้นสงครามกลางเมือง?!? ลือทรัมป์ประกาศกม.ปราบจลาจล เอฟบีไอเตือนประท้วงติดอาวุธก่อหวอดทั่วปท.

2428

สหรัฐเดินเข้าสู่วิถีสงครามกลางเมือง เมื่อทรัมป์เดินหน้าสู้ ถือว่ามีเสียงชาวอเมริกันสนับสนุนถึง 74 ล้านคนจากผลการเลือกป็อปปูลาร์โหวด ล่าสุดมีข่าวแพร่ทางสื่อโซเชียลว่า ทรัมป์ประกาศรัฐบัญญัติต่อต้านการจลาจล 1807 มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ หลังลงนามประกาศภาวะฉุกเฉินของวอชิงตันดีซี เอฟบีไอเตือนอาจมีการประท้วงติดอาวุธในหลายเมืองทั่วสหรัฐ ขณะข่าวสารทางฝั่งโจ ไบเดนเดินหน้าเตรียมรัฐพิธีท่ามกลางกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิตรึงกำลังรักษาความสงบรอบเมือง และข่าวลือที่สับสน

กฎหมาย Insurrection-คือกม.ปราบจลาจล

ประธานาธิบดีอาจใช้กำลังทหารมาเพื่อดำเนินกิจการภายในประเทศได้ในบางกรณี โดยอาศัยการอ้างกฎหมายที่เรียกว่า Insurrection Act ที่ตราไว้ตั้งแต่ปี 1807 

กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจนี้แก่ประธานาธิบดีในกรณีที่มีการจลาจลในประเทศ และมี 1 ใน 3 ข้อต่อไปนี้เกิดขึ้น

  1. สภาของมลรัฐหรือผู้ว่าการรัฐร้องขอมาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกลาง ว่าต้องการกองกำลังทหารของรัฐบาลกลางเข้าไปช่วยเหลือ
  2. การจลาจลทำให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไม่ได้
  3. การจลาจลทำให้บุคคลบางกลุ่มเสียสิทธิที่จะต้องได้รับการปกป้องตามรัฐธรรมนูญ (Equal Protection)

ประกาศซ้อนประกาศเรื่องจริงหรือปั่นข่าว

คืนวันจันทร์ที่ 11 ม.ค.2564 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐมีกระแสข่าวในสังคมโซเชียลว่า ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามประกาศใช้ The Insurrection Act: รัฐบัญญัติต่อต้านการจลาจล 1807 อ้างข้อมูลจากนายไซมอน ปารค์เกอร์ ที่อ้างว่าเป็นคนวงในที่ประสานเชื่อมต่อกับทีมทรัมป์

เขากล่าวว่า “ได้ยินว่า  DC ขณะนี้มีรองเท้าบูทหลายพันคู่อยู่บนพื้นดิน .. สามารถบ่งบอกได้ว่า National Guard กำลังถูกเปิดใช้งานค่อนข้างมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ข่าวลือ “ให้ทุกคนเตรียมพร้อม” แต่ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ขณะนี้มีทหาร 6 พันนาย แต่ก็เหมือนจะมากกว่านั้นใน DC พวกเขาที่จะอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 20 และได้ยินมาว่าลอสแองเจลิสมีกองกำลังจำนวนมากอยู่ที่นั่น และดูเหมือนว่าพวกเขาเตรียมจะจับกุมบุคคลสำคัญทางการเมืองที่นั่น…มีหลายสิ่งจะถูกเปิดเผยก่อนวันที่ 19 นี้!”

เรื่องนี้อาจเป็นเพียงแค่การปลุกปลอบกลุ่มคนรักทรัมป์ หรือเป็นเรื่องจริง เราคงต้องรับรู้และพิจารณาอย่างมีวิจารณญาณ 

เมื่อวันจันทร์ที่11 ม.ค.วันเดียวกัน สำนักข่าวซินหัวและสื่อต่างประเทศต่างรายงานเรื่องปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ อนุมัติการประกาศภาวะฉุกเฉินของกรุงวอชิงตัน ดี. ซี. เมืองหลวงของประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 11-24 ม.ค. 2021 ซึ่งนายกเทศมนตรีเป็นผู้ร้องขอ ทั้งนี้มีผล ครอบคลุมวันที่โจ ไบเดน จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค.ที่จะถึงนี้

สำนักงานเลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนประจำทำเนียบขาวแถลงว่า “วันนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย (หมายถึงวอชิงตัน ดีซี)และสั่งรัฐบาลกลางช่วยสนับสนุนเขตฯ รับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจากพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนที่ 59 ระหว่างวันที่ 11-24 ม.ค. 2021”

การประกาศภาวะฉุกเฉินมอบอำนาจให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและหน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉินของรัฐบาลกลางประสานงานด้านทรัพยากรกับหน่วยงานของรัฐและท้องถิ่น มุ่งเตรียมความพร้อมรับมือความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นทั้งช่วงก่อนและระหว่างพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน

การประกาศดังกล่าวเป็นการตอบสนองต่อจดหมายที่ส่งถึงทรัมป์เมื่อวันอาทิตย์ (10 ม.ค.) โดยมูเรียล โบว์เซอร์ นายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วเมืองเป็นเวลา 15 วัน ไม่นานนักหลังเกิดเหตุกลุ่มผู้ประท้วงที่สนับสนุนทรัมป์บุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 6 ม.ค.

 

จดหมายของโบว์เซอร์ระบุว่า “ด้วยเหตุโจมตีอาคารรัฐสภากอปรกับข่าวกรอง บ่งชี้แนวโน้มเกิดเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้นในช่วงทำพิธีสาบานตน ฝ่ายบริหารของผมจึงประเมินสถานการณ์อีกครั้งและเตรียมความพร้อมรับมือ รวมถึงขอกำลังสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. จนถึงวันที่ 24 ม.ค. นี้”

“ผมพิจารณาแล้วว่าแผนการและทรัพยากรที่วางไว้ก่อนหน้านี้ยังไม่เพียงพอจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของผู้ก่อการจลาจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค.” “เหตุการณ์ล่าสุดและการประเมินของหน่วยข่าวกรองชี้ว่าเราต้องเตรียมความพร้อมสำหรับกลุ่มหัวรุนแรงติดอาวุธและมีประสบการณ์จำนวนมากที่จะมาบุกวอชิงตัน ดี. ซี.”นายกเทศมนตรีกล่าว

โบว์เซอร์ กับราล์ฟ นอร์ แธม ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย และแลร์รี โฮแกน ผู้ว่าการรัฐแมริแลนด์ ได้ออกมากระตุ้นประชาชนอยู่ห่างจากพื้นที่จัดพิธีสาบานตน โดยระบุเหตุผลว่าเพราะ “การจลาจลอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่แล้ว รวมถึงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ร้ายแรงยังคงอยู่”

ทั้งนี้ สำนักงานสืบสวนกลาง (FBI) ของสหรัฐฯ เตือนว่าอาจเกิดการประท้วงโดยใช้อาวุธที่อาคารรัฐสภาของทั้ง 50 รัฐท้องถิ่นระหว่างวันที่ 16-20 ม.ค. และที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวอชิงตัน ระหว่างวันที่ 17-20 ม.ค. นี้