จากกรณีที่โดนัล ทรัมป์ ได้แพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี ทรัมป์ได้ออกมาแสดงการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง โดยการอ้างว่ามีการโกงเกิดขึ้น และได้พยายามทำทุกทางเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้
จนกระทั่ง วันที่ 6 ม.ค. 64 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปลุกกลุ่มผู้สนับสนุนตนเองให้ออกมา เดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงวอชิงตัน เพื่อคัดค้านการประกาศรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน
และผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาสหรัฐ ได้มีการจลาจลเกิดขึ้น จนเป็นเหตุให้มีหญิงสาวหนึ่งในผู้ประท้วงถูกยิงเสียชีวิต 4 ราย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นิตยสารฟอร์บส์ สื่อดังระดับโลกของสหรัฐฯ ได้เคยคาดเดาสถานการณ์หลังจากทรัมป์แพ้การเลือกตั้งไว้ โดยได้เผยแพร่บทความเรื่อง Is Trump Taking A Page From Thailand’s Playbook? ทาง William Pesek คอลัมนิสต์คนดัง ระบุว่า ด้วยที่โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงปฏิเสธยอมรับผลการเลือกตั้ง เปรียบเทียบสถานการณ์กับ นายทักษิณ ชินวัตร ของประเทศไทย ชายที่ยังคงเป็นเงาปกคลุมเศรษฐกิจและประเทศไทยมานานกว่า 14 ปี นับตั้งแต่พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ล่าสุด ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อเรื่อง ” รู้ทันทักษิณ รู้ทันทรัมป์” ระบุว่า
” รู้ทันทักษิณ รู้ทันทรัมป์
ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
พฤติกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัล ทรัมป์ ที่ปลุกระดมมวลชนสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นที่รัฐสภา หลังความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและต้องการมีอิทธิพลเหนือวุฒิสภาไม่ได้ผล จึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สมัยระบอบทักษิณเรืองอำนาจ
1. ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของธุรกิจผูกขาดขนาดใหญ่ ประสบความสำเร็จจากการเลือกตั้งภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง 2540 ขณะที่ผู้คนถวิลหานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาบริหารประเทศ เพราะมุ่งหวังว่าจะได้ช่วยนำพาเศรษฐกิจ
โดนัล ทรัมป์ เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกาหลังวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ที่คนอเมริกันแสวงหาผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจมานำพาประเทศ
2. ทั้งทักษิณและทรัมป์ ยึดนโยบายประชานิยม ชาตินิยม ผลประโยชน์ที่ให้เฉพาะกลุ่มคนที่เลือกเขาเป็นหลัก เยียดคนกลุ่มน้อยและใช้ความรุนแรง
3. ทั้งสองคนพูดจาโผงผางไม่เกรงกลัวอะไร ใช้ระบบพรรคพวก เอื้อประโยชน์คนรอบข้าง คนในครอบครัวทั้งภรรยา น้องสาว ลูกสาว ลูกเขย มีส่วนในการเข้าแทรกแซงการบริหาร
4. ทักษิณพยายามแทรกแซงวุฒิสภา แจกจ่ายผลประโยชน์ให้ ส.ว. พยายามเปลี่ยนประธานวุฒิสภาและประธานกรรมาธิการให้เป็นคนของตน
ไม่ต่างอะไรกับทรัมป์ที่แทรกแซงวุฒิสภา พยายามกดดันผ่านรองประธานาธิบดีที่ ทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา
5. ทักษิณแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ครอบงำองค์กรอิสระ ถึงกับเคยกล่าวว่า “กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นคนของเรา”
ทรัมป์พยายามแทรกแซงกระบวนการสอบสวนที่ตรวจสอบพฤติกรรมของตน และสุดท้ายพยายามส่งคนของตนไปเป็นศาลสูงสหรัฐอเมริกา ก่อนการเลือกตั้งครั้งสำคัญ
6. ทั้งทักษิณและทรัมป์แทรกแซงและครอบงำสื่อมวลชน จนกระทั่งสื่อมวลชนแตกแยกเป็นฝักฝ่าย แยกเป็นสองค่าย กลายเป็นสื่อเลือกข้าง (แดงกับฟ้า)
7. ทักษิณและทรัมป์ถูกกล่าวหาว่าหลบเลี่ยง ไม่จ่ายภาษีเป็นจำนวนมากมหาศาล และทั้งคู่ก็แอบอ้าง บิดเบือนประเด็นไปว่า ตนจ่ายภาษีมากกว่าใครๆในประเทศเสียอีก
8. ทรัมป์และทักษิณเป็นนักธุรกิจระดับเศรษฐีที่นิยม ครอบครองบ้านหลายหลังอยู่ในหลายประเทศ และอวดร่ำอวดรวยไม่ต่างกัน
9. จิตแพทย์หญิงชาวสหรัฐอเมริกาเคยอัดคลิปแสดงความเป็นห่วงว่าทรัมป์ว่าน่าจะมีปัญหาทางจิต หากปล่อยให้เป็นผู้นำประเทศบ้านเมืองจะเสียหาย
เช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งทักษิณดำรงตำแหน่งนายกฯของไทย จิตแพทย์ได้เขียนในหนังสือ “รู้ทันทักษิณ”แสดงความเป็นห่วงในพฤติกรรมว่า ผู้นำสมัยนั้นอาจเป็นคนสองบุคคลิก และเป็นคนบ้าใหญ่บ้าโต (Megalomania)
10. เมื่อจะสูญเสียอำนาจ ทักษิณปลุกระดมคนเสื้อแดง ผ่านวีดีโอคอล “ผมแพ้ไมได้” “ให้ออกมากันให้มากๆ หากมีการใช้กำลัง ให้ปฏิบัติการได้ทันที”
เช่นเดียวกับทรัมป์เมื่อจะสูญเสียอำนาจก็ปลุกระดมมวลชนมาบุกรัฐสภา โดยใช้วีดิโอคอลเช่นเดียวกับทักษิณ และบอกให้มวลชนต้องแข็งกล้า ไม่ยอมแพ้ต่อ
11. การปลุกระดมของทักษิณและทรัมป์ นำมาซึ่งความรุนแรง มีการเผา มีการทำลายทรัพย์สิน มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะของทั้งสองฝ่ายในทั้งสองประเทศ
12. แม้ทักษิณ และทรัมป์จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว สังคมของทั้งสองประเทศก็เกิดความแตกแยกแบ่งฝ่ายและมีทีท่าว่าจะลุกลาม ส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจ และสังคมในอนาคต”