สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การเดินทางโดยรถยนต์และเครื่องบินอย่างจำกัดในช่วงการระบาดไวรัสสายพันธ์ใหม่ โควิด-19 ทำให้ยุทธศาสตร์การลงทุนของนักลงทุนถอดใจไปจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ศูนย์วิจัยตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯชี้ถ้าราคาติดลบไม่หยุด ดอกเบี้ยท่วมการท่องเที่ยวเดินทางไม่ฟื้น และสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น บริษัทน้ำมันและก๊าซในสหรัฐอาจล้มละลายกว่า 530-1,100 แห่งภายในสิ้นปี 2020
ยักษ์อุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ-มูลค่าตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุน
มูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐตกต่ำอย่างที่สุด มีมูลค่าเพียง 4% ของการลงทุนในตลาดอุตสาหกรรมต่างๆ เนื่องจากนักลงทุนไม่สนใจถือหุ้นในบริษัทผลิตน้ำมันและก๊าซเหมือนในอดีตที่เป็นมา เนื่องจากสาเหตุใหญ่ๆคือ
- ดอกเบี้ยที่ต้องชำระ ของบริษัทน้ำมันฯท่วมมาจน มีโอกาสที่บริษัทจะขาดความสามารถชำระหนี้
- ราคาน้ำมันดิ่งต่อเนื่องมา 2-3 ปีติดต่อกัน และตกอย่างไม่น่าเชื่อเช่น 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาเรลล์อยู่ดีๆ วันรุ่งขึ้นตกลงเหลือ 20 ดอลลาร์ ต่อบาเรลล์
- ESG investing ของตลาดหลักทรัพย์ จับตาดูผลกระทบจากการดำเนินการธุรกิจน้ำมันและก๊าซ เป็นลบในการลงทุน ทำให้นักลงทุนถอดใจ ที่ถือคาอยู่เงินหายไปเรื่อยๆเรียกว่าในรอบทศวรรษที่คนถือหุ้นบริษัทน้ำมันแล้วไม่มีเงิน
(ESG:Environmental, Social and Governance คือ แนวคิดการลงทุนที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ของธุรกิจ ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน ของธุรกิจ)
บริษัทน้ำมันและก๊าซ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กมีสิทธิล้มละลาย
สาเหตุสำคัญที่ซ้ำเติมความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัทน้ำมันคือ การเดินทางและการท่องเที่ยว เพราะการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงต่อเนื่อง
โดยเฉพาะเครื่องบินซึ่งเคยเป็นลูกค้าหลักสำคัญในการใช้น้ำมัน ปัจจุบันใช้แค่ 1 ใน 3 จากที่เคยใช้น้ำมันในปี 2019 เพราะทุกบริษัทมีนโยบายไม่เดินทางไปไหน ทุกคนอย่าไปที่ไหนเพราะโควิดระบาดอยู่ ที่น่าเป็นกังวลคือ บริษัทวิจัยของตลาดหลักทรัพย์รายงานว่า หากสภาพการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่จนถึงสิ้นปี เราจะได้เห็นบริษัทน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ ล้มละลายกันอีกมาก มากจริงๆ
นอกจากนี้ การระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังทำให้การลงทุนของนักลงทุนต้องเปลี่ยนแปลงไป และการทำธุรกิจของบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯก็เปลี่ยนไปด้วย กล่าวคือในช่วงเวลายากลำบากนี้ มลรัฐเท็กซัส, นอร์ทคาโรไลนา และนิวเม็กซิโก ลำบากสาหัสกว่าใคร เพราะราคาที่ตกต่ำของสินค้า ขาดรายได้ก็ต้องมีการปลดงาน
ทำให้หลายบริษัทน้ำมันหลายแห่งเบนเข็มมาทำธุรกิจอื่นๆ แต่ส่วนใหญ่ทำธุรกิจทีใกล้เคียงความถนัดเก่า ยกตัวอย่างเช่น ในเท็กซัสซึ่งเต็มไปด้วยทะเลทราย บริษัทน้ำมันย่านนี้ก็เริ่ม ขยับขยายการลงทุนไปสู่ พลังงานทางเลือกชนิดอื่นๆ เพราะหุ้นพลังงาน ที่ไม่ใช่จากน้ำมันหรือก๊าซยังมีศักยภาพในการลงทุน ราคาหุ้นมีเสถียรภาพน่าสนใจ
สหรัฐฯ คือประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลก-ใหญ่มากเจ็บมาก
ในปี 2019 สหรัฐฯ ผลิตน้ำมันดิบเท่ากับ 15 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประมาณ 19% ของปริมาณการผลิตทั้งโลก และที่น่าสนใจคือ การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ นั้นเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี สิ่งสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ กลายมาเป็นผู้ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกคือ พัฒนาการของ Shale Oil ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา
ปี 2010 การผลิตน้ำมันจาก Shale Oil เท่ากับ 0.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ปี 2019 การผลิตน้ำมันจาก Shale Oil เท่ากับ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ปัจจุบัน การผลิตน้ำมันจาก Shale Oil ของสหรัฐฯ นั้นมีสัดส่วนถึง 51% ของการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ พัฒนาการของการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ส่งผลให้อุตสาหกรรมน้ำมันเติบโตจากอดีตเป็นอย่างมาก วันนี้อุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงถึง 57 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 8% ของ GDP สหรัฐฯ และมีการจ้างงานสูงกว่า 10 ล้านคน
เฉพาะแค่มูลค่าอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯ เพียงอุตสาหกรรมเดียวมีมูลค่าเท่ากับ GDP ของแคนาดาทั้งประเทศ รวมทั้งยังใหญ่กว่า GDP ของประเทศไทยถึง 3 เท่า ต้องยอมรับว่าการเกิดขึ้นของ Shale Oil เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาน้ำมันดิบในช่วงหลายปีมานี้ และตอนนี้เมื่อมาเจอกับการระบาดของไวรัส Covid-19 จนทำให้ความต้องการน้ำมันนั้นลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการลดลงของปริมาณการเดินทาง จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบนั้นลดลงแบบดิ่งเหว
ปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ซึ่งเป็นราคาอ้างอิงของน้ำมันในแถบอเมริกาเหนือ มีราคาอยู่ที่ประมาณ 16 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งลดลงมาแล้ว 73% จากปลายปี 2019
คาดกันว่า ณ ระดับราคาน้ำมันที่ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะมีบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ล้มละลายถึง 530 บริษัท ณ ระดับราคาน้ำมันที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะมีบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ล้มละลายถึง 1,100 บริษัท