ไบเดนประกาศปฏิรูปตำรวจ?!? แฉสองมาตรฐาน ปฏิบัติต่อคนขาว-ผิวสีไม่เท่าเทียม หลังภาพแชร์ว่อนตร.เซลฟี่ม็อบ

2009

โจ ไบเดนและคามาลา แฮร์ริสแฉระบบยุติธรรมสหรัฐสองมาตรฐาน รับไม่ได้เห็นภาพตำรวจเซลฟี่กับผู้ประท้วงคลั่ง บางส่วนเปิดทางให้เข้ารัฐสภาไม่จัดการตามกฎหมาย เปรียบเทียบการชุมนุมกลุ่มBLM กลางปี 2020ที่ขยายทั่วประเทศ เพราะการเหยียดผิวสีทำจอร์จ ฟลอยเสียชีวิต การบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น ใช้ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยางและการจับกุมคุมขังแล้วกว่า 14,000 ราย ไบเดนประกาศจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ต้อง”ปฏิรูปตำรวจ” ต้นน้ำของความยุติธรรมอยู่ตรงนี้ ทำได้จริงความดีงามได้ไปต่อ สังคมไทยก็เช่นกัน ถ้าการบังคับใช้กฎหมายไม่จริงจังและเท่าทันอาชญากรรมการเมือง ที่สร้างความหายนะแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็อาจทำให้ประชาชนตั้งข้อสังเกตุได้ว่า รู้เห็นเป็นใจจึงเกียร์ว่าง “ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม”

ตำรวจเหยียดผิว 2มาตรฐานเปิดทางคนขาว-ถ้าเป็นผิวสีมีทุบ 

วันที่ 8 ม.ค.2564 โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา และ คามาลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน ประณามเจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ หลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ ‘สองมาตรฐาน’ อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกันระหว่างการชุมนุมประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิวและเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมอย่าง Black Lives Matter (BLM) กับการชุมนุมของกลุ่มคนผิวขาวที่สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่บุกเข้ารัฐสภาเมื่อวานนี้ 

ไบเดนกล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถตอบผมได้ว่า ถ้ากลุ่ม Black Lives Matter เป็นผู้ชุมนุมประท้วงเมื่อวานนี้ พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติแตกต่างไปจากกลุ่มชุมนุมอันธพาลที่บุกเข้าไปยังรัฐสภามากแค่ไหน พวกเรารู้ว่าทั้งหมดนี้คือความจริง นั่นคือสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้” “แต่เรายังได้เห็นถึงความล้มเหลวในการอำนวยความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมอย่างชัดเจนด้วย”

โดยขณะที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้สนับสนุน BLM ปะทุขึ้นทั่วสหรัฐฯ ในช่วงกลางปี 2020 ที่ผ่านมา มีการบังคับใช้กฎหมายในหลายเมือง อนุญาตให้มีการใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง รวมถึงเข้าจับกุมกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมากที่ชุมนุมกันอย่างสันติ แม้จะมีบางรายที่ขาดสติ นำไปสู่การใช้กำลังและปล้นสดมภ์ร้านค้าต่างๆ โดยมีผู้ถูกจับกุมราว 14,000 ราย ขณะที่เมื่อวานนี้กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์กลับแหกกฎเคอร์ฟิวที่ประกาศโดยนายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตัน อีกทั้งยังตรวจพบอาวุธและระเบิด แต่กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์กลับได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือมากกว่า แทบจะไม่มีผู้ชุมนุมถูกจับใส่กุญแจมือเลย แม้จะกระทำความผิด ก่อความไม่สงบ และใช้ความรุนแรง

ทางด้านแฮร์ริส อดีตอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนียว่าที่รองปธน.หญิงคนแรกของอเมริกา ชี้ว่า ระบบยุติธรรมสหรัฐฯ ไม่ได้ปฏิบัติต่อคนผิวขาว-คนผิวดำ คนรวย-คนจน อย่างเท่าเทียมกัน 

 “ความท้าทายที่เราเผชิญอยู่ในประเทศของเรามันมากกว่าสิ่งที่เราเห็นเมื่อวานนี้ แต่มันคือเรื่องของการปฏิรูป การปรับปรุงระบบยุติธรรมที่ไม่ได้ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นระบบที่จะปฏิบัติต่อคุณต่างกัน ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณเป็นคนผิวขาวหรือผิวดำ”

นอกจากนี้อดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตอย่าง บารัก โอบามา, บิล คลินตัน, จิมมี คาร์เตอร์ รวมถึงอดีตผู้นำจากรีพับลิกันอย่าง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช, มิเชล โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง และผู้นำประเทศจำนวนไม่น้อย ต่างประณามความรุนแรงที่คุกคามประชาธิปไตยสหรัฐฯ และความสองมาตรฐานที่เกิดขึ้น

ขณะที่บรรดานักการเมืองสหรัฐคนอื่นๆ แสดงท่าทีต่อการประท้วงในบ้านตัวเองแตกต่างจากการพูดถึงการประท้วงของประเทศอื่นอย่างสิ้นเชิง เช่น 

ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ที่เคยพูดถึงการประท้วงที่ฮ่องกงไว้ว่า “เราขอยืนเคียงข้างชาวฮ่องกง” แต่กลับเอ่ยถึงการบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐว่า “การไม่เคารพกฎหมายและการก่อจลาจลเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้เสมอ”

แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่เคยพูดเมื่อเดือน มิ.ย.2019 ว่าการประท้วงที่ฮ่องกงนั้น “เป็นภาพที่สวยงาม” ซึ่งหลังเหตุการณ์ประท้วงในสหรัฐทำให้หนังสือพิมพ์ Global Times ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลจีนนำคำพูดนี้มาย้อนถามกลับว่า “ไม่รู้ว่าเธอจะพูดอย่างเดียวกันนี้กับการประท้วงที่อาคารรัฐสภาหรือไม่”

ปฏิกิริยาแบบพลิกลิ้นจากนักการเมืองสหรัฐเหล่านี้ ทำให้ หัวชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนโจมตีว่า “การตอบสนองและคำที่ใครบางคนในสหรัฐใช้กับเหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกงเมื่อปี 2019 ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐ”

ภาพบาดความรู้สึกตำรวจซูเอี๋ยกลุ่มขวาจัดหนุนทรัมป์

เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐเปิดเผยเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นบริเวณรัฐสภาสหรัฐวานนี้ต่อสำนักข่าว NPR โดยระบุว่าล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 5 ราย โดยหญิงคนหนึ่งถูกยิงบริเวณหน้าอกขณะบุกรุกห้องประชุมสภาสหรัฐ ทราบชื่อต่อมาว่าแอชลี แบ็บบิตต์ นอกจากจะเป็นผู้สนับสนุนของโดนัลด์ ทรัมป์แล้วยังเป็นทหารผ่านศึกของกองทัพอากาศอีกด้วย ส่วนคนอื่นๆ เป็นชาย 2 ราย อายุประมาณ 50 ปี และหญิงอีก 1 ราย อายุประมาณ 30 ปีเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บอื่นๆ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตอีก 1 ราย โดยมีประชาชนจำนวนมากและเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกประมาณ 56 นายได้รับบาดเจ็บ 

อย่างไรก็ตามมีการแชร์คลิปวิดีโอที่ถูกบันทึกไว้ในเหตุการณ์จลาจลพบว่าเจ้าหน้าที่ยอมจำนนต่อฝูงชน โดยบางคลิปแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเซลฟี่กับผู้ก่อจลาจลบางคนและมีการเคลื่อนเครื่องกีดขวางเพื่อให้ผู้คนจำนวนมากสามารถเข้าใกล้อาคาร กรมตำรวจนครบาลของวอชิงตันกล่าวว่าจนถึงช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นตามเวลาต้องถิ่น เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้คนทั้งสิ้น 70 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นข้อหาฝ่าฝืนมาตรการเคอร์ฟิวและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ล่าสุด ประกาศเคอร์ฟิวทั่วเมือง 15 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกำลังกวาดล้างโรงแรมในพื้นที่โดยคาดว่าจะมีการจับกุมผู้คนเพิ่มเติม นอกจากนี้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิกว่า 1,200 นายถูกระดมเพื่อรักษาความปลอดภัยภายในช่วงสุดสัปดาห์นี้