เงียบเป็นเป่าสาก!! รวม NGO สายเสี้ยม เคยหวด “รัฐฯไทย” ฉีดน้ำใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่หน้าซีดเมื่อพี่ใหญ่สหรัฐ สลายชุมนุมวันแรกรุนแรง เสียชีวิต 4 ราย!!
หากย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 16 ต.ค.63 ในประเทศไทยได้มีการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร โดยการปิดแยกราชประสงค์ และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำการสลายการชุมนุม โดยใช้การฉีดน้ำแรงดันสูง ตามหลักวิธีการสลายการชุมนุมสากล จากความอดทนต่อการบ่อนทำรายเศรษฐกิจมาเป็นเวลาร่วมเดือน
ในส่วนอีกครั้งที่เจ้าหน้าที่ทำการสลายการชุมนุม โดยใช้การฉีดน้ำแรงดันสูง ก็จะเป็นในวันที่ 17 พ.ย.63 บริเวณหน้ารัฐสภาฯ เนื่องจากผู้ชุมนุมพยายามบุกเข้าบริเวณอาคาร โดยทั้ง 2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงอย่างอื่น นอกเหนือจากการฉีดน้ำสลายชุมนุม ตามหลักสากลทั่วไป
แต่การกระทำสลายการชุมนุมดังกล่าว กลับถูกองค์กร NGO ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน รวมถึงผู้ที่สนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุม ออกมาโจมตีอย่างรุนแรง เหมือนกับว่าการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐเป็น “อาชญากรรม” และประชาชนที่พยายามจะบุกเข้าพื้นที่รัฐสภาฯ เป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ ดังนี้
“นายเศรษฐา ทวีสิน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์ข้อความผ่านทวีตเตอร์ส่วนตัวว่า
“จากการที่ผมได้มีส่วนร่วมในการดูแลเด็กและเยาวชนทั้งทางด้านการศึกษา กีฬา สุขภาพผ่านมูลนิธิส่วนตัวและยูนิเซฟมากว่า 10 ปี เหตุการสลายการชุมนุมโดยการใช้กําลังในคืนนี้ถือว่าเป็นจุดตํ่าสุดของรัฐบาลนี้ ขอเรียกร้องให้หยุดทำลายอนาคตของชาติด้วยวิธีนี้และกลับมาแก้ไขโดยสันติวิธี”
ในส่วนทางด้านของ “UN Thailand” ก็ได้โพสต์ในเชิงรับไม่ได้กับการสลายการชุมนุมโดยการฉีดน้ำความดันสูงเช่นกันดังนี้
“ดิฉันรู้สึกตกใจกับรายงานจาก #ประเทศไทย อาทิตย์นี้เกี่ยวกับการจับกุมและการคุมขัง และคดีอาญาที่รุนแรงต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้ใช้สิทธิในการชุมนุมอย่างสงบและแสดงความคิดเห็น” ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติ ด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน”
อีกหนึ่งองค์กรที่เคลื่อนไหว บ่อยครั้งในเรื่องของการโจมตีรัฐบาลนั่นก็คือ “นายสุนัย ผาสุข” ผู้แทน Human Right Watch ประจำประเทศไทย ก็ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจว่า
“@HRW ตำรวจฉีดน้ำแรงดันสูงผสมแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมอย่างสันติคือละเมิดสิทธิมนุษยชน-ขัดข้อกำหนดยูเอ็น นานาชาติต้องกดดันรัฐบาลไทยให้ยกเลิก #พรกฉุกเฉิน หยุดปราบ-จับกุมฝ่ายประชาธิปไตย หยุดปิดกั้นสื่อ-ความคิดเห็น #16ตุลาไปแยกปทุมวัน #WhatsHappeningInThailand”
และที่ขาดไม่ได้เลยเห็นทีจะเป็น “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย” องค์การนอกภาครัฐที่ทำงานเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ก็ได้แสดงความไม่พอใจ รวมถึงเรียกการฉีดน้ำความดันสูงว่า “ปืน” เพื่อตอกย้ำความรุนแรงของการสลายการชุมนุม ดังนี้ว่า
“ตำรวจไทยใช้ปืนฉีดน้ำที่มีสารระคายเคืองและสีย้อม กับผู้ประท้วงในกรุงเทพฯในคืนนี้ ซึ่งถือเป็นการคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ
#whatishappeninginthailand”
แต่แล้วความย้อนแย้งก็กลับเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุด และไม่มีการพูดหลักประฏิบัติในเรื่องของความถูกต้อง นั่นก็คือ ในวันที่ 6 ม.ค.64 เมื่อมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ให้การสนับสนุน ทรัมป์ บุกปิดอาคารรัฐสภา เพื่อหวังกดดันไม่ให้ทางด้านของ นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมสภาคองเกรสรับรอง “โจ ไบเดน” เป็นประธานาธิบดี
ส่งผลให้ทางด้านเจ้าหน้าที่ได้ใช้การควบคุมชุมนุม ที่เรียกได้ว่าข้ามขั้นตอนจากวิธีการในประเทศไทยไปหลายขั้นตอน เช่น การใช้กระบอกทุบตีใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่พยายามจะบุกเข้ารัฐสภาฯ รวมถึงการใช้ระเบิดแก๊สน้ำตา และที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นการใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นกระสุนจริงกับกลุ่มผู้ชุมนุม ส่งผลให้มีรายงานว่าขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 4 ราย โดยหนึ่งในนั้นเป็นหญิง ถูกยิงเข้าที่อกตายกลางรัฐสภาสหรัฐ
ต้องบอกเลยว่าการควบคุมฝูงชน ของประเทศต้นแบบประชาธิปไตย ของแก๊งคณะราษฎรนั้น ค่อนข้างที่จะมีความเด็ดขาด และรุนแรง ซึ่งเปรียบเทียบกับการสลายการชุมนุมของไทยนั้น แทบจะเรียกได้ว่าหน้ามือกับหลังมือเลยก็ว่าได้ และที่น่าแปลกใจกว่าทุกสิ่งอย่างก็คือ NGO ที่เคยออกมาต่อต้าน การฉีดน้ำสลายการชุมนุม ต่างไม่แตะต้องในประเด็นที่ เจ้าหน้าที่รัฐของรัฐสภาสหรัฐ ใช้ความรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิตในการชุมนุมเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งเป็นการขาดรับแบบชันเจนว่า กลุ่ม NGO ที่เข้ามาเคลื่อนไหว เรื่องสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย ทั้งหลายในประเทศไทยนั้น ไม่ได้ปกป้องในสิ่งที่เขาพูดอยู่เสมอ แต่เป้าหมายคือการแทรกแซงประเทศอื่นๆ เสียมากกว่า เพราะกลุ่ม NGO ต่างๆเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ได้รับเงินทุนหมุนเวียนต้นทางจากประเทศ สหรัฐอเมริกา ลูกพี่ใหญ่นั่นเอง