สหรัฐนอกจากเป็นศูนย์กลางการระบาดไวรัสโควิด-19 ของโลกแล้ว กำลังกลายเป็นรัฐล้มเหลวเข้าไปทุกที เพราะความรุนแรงขัดแย้งของกลุ่มคนที่คิดเห็นต่างขั้ว ขยายตัวไปทุกเมือง มีการปะทะ สาดกระสุน เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพยสินอย่างกว้างขวาง จนเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นมีแนวโน้มว่าไม่อาจรับมือได้อีกต่อไปแล้ว ล่าสุดตำรวจเมืองเซนต์หลุยส์ ที่ถูกลอบยิงที่ศีรษะเสียชีวิตแล้ว ยิ่งทำให้ความรุนแรงและบาดแผลทางใจระหว่าง กลุ่มคนคิดต่างห่างออกไปอย่างหน้าวิตก ทรัมป์ยังคงใช้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่อาจสายเกินกว่าจะควบคุมแล้วก็ได้
สำนักงานตำรวจเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรีของสหรัฐ เปิดเผยว่ามีตำรวจ 4 นาย ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ควบคุมเหตุประท้วงในเมืองเซนต์หลุยส์เมื่อคืนวันเสาร์ (29 ส.ค.2563) ซึ่งการประท้วงเริ่มต้นในช่วงเย็นอย่างสงบ ก่อนบานปลายเป็นเหตุรุนแรงในช่วงกลางคืน ซึ่งมีรายงานการทำลายทรัยพ์สินและการปล้นร้านค้าเกิดขึ้น ชาวบ้านโทร.แจ้งเหตุเมื่อตำรวจมาถึงในพื้นที่ ชายคนร้ายซ่อนตัวในบ้าน ระดมยิงถูกตำรวจบาดเจ็บ 4 นาย ล่าสุดตำรวจที่ถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิตแล้ว ทรัมป์ทวิตสั่งจะส่งกำลังลงพื้นที่ควบคุมกลุ่มประท้วงแน่นอน
ตำรวจทั้ง 4 นายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังเกิดเหตุ 1 คนสาหัสเพราะถูกยิงที่ศีรษะ อีก 3 คนอาการไม่สาหัส ถูกยิงบริเวณขา และยังไม่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าตำรวจถูกยิงไม่นาน หลังจากที่มีการใช้ระเบิดแสงนับครั้งไม่ถ้วน และแก๊สน้ำตากับฝูงชน
นายทามาริส แอล โบฮันนอน อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจ เมืองเซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี ถูกยิงที่ศีรษะ ขณะเข้าร่วมกับทีมงาน ระงับความรุนแรงวุ่นวายในการประท้วง เขาถูกส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในที่สุด
ครอบครัวของโบฮันนอนและเพื่อนตำรวจ ต่างโพสต์ทวิตเตอร์แสดงความเสียใจกับครอบครัว ภรรยาและลูก 3 คนของเขาและกล่าวไว้อาลัยถึงเขาในฐานะวีรบุรุษ “กานสูญเสียครั้งนี้ เป็นความรู้สึกสูญเสียที่ลึกซั้งของตำรวจเซนต์หลุยส์ทุกคน ขอให้พวกเราทุกคนสวดมนต์แก่เขา และให้การสนับสนุนครอบครัวเขาต่อไป”
โบฮันนอนและตำรวจอีก 3 นายที่ถูกยิงบาดเจ็บ เกิดจากชายคนหนึ่งแอบอยู่ในบ้านและยิงใส่ตำรวจ ขณะชุลมุนเหตุการณ์ประท้วงคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา และมีเยาวชน 2 รายถูกจับในคืนนั้น ตำรวจหญิงแห่งสำนักงานตำรวจเซนต์หลุยส์ นางมิเชล วูดลิงก์กล่าวว่า ตำรวจต้องเข้าทำการระงับความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการประท้วงมาเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว ขณะที่ ผู้บัญชาการตำรวจ นายจอห์น เฮย์เดน กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ และก็บาดเจ็บจากการถูกยิง นี่เป็นผลของการเกิดความรุนแรงจากการประท้วงต่อเนื่องมาตลอด” เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงในระหว่างปฎิบัติหน้าที 6 คนแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา “เราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่มันยากมาก ยากมากจริงๆ”
ชายคนร้าย อายุ 49 ปี ถูกล้อมจับในตอนเช้าวันอาทิตย์ (30 ส.ค.2563) เขาไม่ได้ทำร้ายเจ้าของบ้าน เพียงขู่ให้ออกห่างจากโทรศัพท์เมื่อสามีภรรยาพยายามโทร.เรียกตำรวจ และเมื่อหน่วยสวาทมาถึง ได้ขว้างแก๊สน้ำตาเข้าไปในบ้าน คนร้ายจึงหนีออกไปทางหลังบ้าน สองสามีภรรยา นางมีมีและนายสตีฟ แฮกก์ ให้การตำรวจว่ากลัวมาก เมื่อชายคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านพร้อมด้วยปืนไรเฟิลยาว และขู่ให้ทั้งสองออกไปจากบ้าน พวกเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
การประท้วงที่ลุกลามกลายเป็นการจลาจลในหลายพื้นที่คราวนี้ เกิดขึ้นหลังการตายของ ฟลอยด์ ชายผิวสี ไม่มีอาวุธที่ถูกตำรวจผิวขาวจับกุม และใช้เข่ากดทับคอจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุดในเมืองมินนิอาโปลิส มลรัฐมินนิโซตา เมื่อวันที่ 25 พ.ค. และนำไปสู่เหตุการณ์การประท้วงต้านเหยียดผิวภายใต้กลุ่ม “Black Live’s Matter” ทั่วประเทศ โดยได้รับการตอบรับจากเมืองใหญ่หลายแห่งทั่วโลกความรุนแรงระหว่างกลุ่มคนที่เห็นต่าง ได้กลายเป็นความขัดแย้งครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองเหนือ-ใต้ เรื่องยกเลิกทาสผิวดำ
ปธน.โดนัล ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐทวิตสั่งว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องดำเนินการควบคุมสถานการณ์ให้ทันเหตุการณ์ หากที่ไม่ยอมดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตนจะส่งกองกำลังทหารพิทักษ์มาตุภูมิ เข้าไปจัดการปัญหาอย่างรวดเร็ว และประณามว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการก่อการร้ายภายในประเทศ