จากที่วันนี้ (29 ธ.ค.63) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึง ลอร์ดชาญวิทย์ Charnvit Kasetsiri
ทั้งนี้สิ่งที่ดร.นิว ฝากถึง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ระบุว่า เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ลอร์ดชาญวิทย์โรคหัวใจกำเริบเข้าโรงพยาบาลจนทำให้คนเข้าใจผิดว่าติดโควิด มาตอนนี้โควิดกลับมาอีกแล้ว ผมจึงรู้สึกเป็นห่วงลอร์ดชาญวิทย์มาก ยิ่งลอร์ดชาญวิทย์เป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย คงต้องดูแลสุขภาพดีๆ อย่าดีใจจนเกินไป และอย่าเสียใจจนเกินไป
ผมกลัวว่าสิ่งที่ลอร์ดชาญวิทย์เคยพูดว่า “อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้มาเห็น และอะไรที่เคยเห็น ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว” อาจจะหมายถึงตัวของ “ลอร์ดชาญวิทย์” เสียเอง
“อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้มาเห็น” คือ สังคมได้รับรู้แล้วว่าลอร์ดชาญวิทย์ซึ่งอยู่ในฐานะของครูบาอาจารย์เป็นคนอย่างไร ลอร์ดชาญวิทย์กำลังทำอะไรอยู่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
“อะไรที่เคยเห็น ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว” คือ ถ้าลอร์ดชาญวิทย์เกิดเป็นอะไรขึ้นมา เราคงไม่ได้เห็นลอร์ดชาญวิทย์อีกแล้ว
สุดท้ายนี้ผมก็ขอฝากความจริงสอนใจไปถึงลอร์ดชาญวิทย์ให้ได้นำไปคิดทบทวนตัวเองดูบ้าง บางทีอาจจะเกิดประโยชน์ขึ้นมาไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับว่าลอร์ดชาญวิทย์เป็นคนเช่นไร เป็นบัวเหล่าใด
“เมื่อเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เมื่อเจ้ามามือเปล่าเจ้าจะเอาอะไร เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ต้นทุนบุญกุศล ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ปวงชน แม้ร่างตนเขายังเอาไปเผาไฟ”
นั่นคือข้อความที่ดร.นิว ฝากฝังไปถึง ลอร์ดชาญวิทย์ หรือ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเนื้อความที่บอกว่า อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น ซึ่งเมื่อตรวจสอบย้อนไปก็พบว่า ดร.ชาญวิทย์ ได้เคยโพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 เนื้อหาทั้งหมดระบุว่า
… Wow Wow wow Change is around here สุดยอด-ความเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว
“อะไรที่ไม่เคยคิด ว่าจะได้เห็น ก้อเห็นแล้ว อะไรที่เห็นมาชั่วชีวิตนี้ อาจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป”
(ถ้าไม่ปฏิรูป ไม่เปลี่ยน ไม่แปลงกันอย่างจริงจังครับ)
อย่างไรก็ตามเนื้อความในทำนองนี้ของ ดร.ชาญวิทย์ ไม่ได้ออกมาพูดถึงไว้เฉพาะวันที่ 19 พฤศจิกายน เท่านั้น เพราะเมื่อตรวจสอบย้อนหลังไปอีกประมาณ 5เดือน คือเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ก็จะพบว่า อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เคยโพสต์ข้อความลักษณะเดียวกันนี้ไว้ว่า
“อะไร…ที่คิดว่าจะไม่ได้เห็น ก้อเห็นแล้ว อะไร…ที่คิดว่าไม่มี ก้อมีแล้ว แต่…หนทางข้างหน้านั้น ยาวไกล ขรุขระ ยากลำบากยิ่ง ต้องอดและทน ครับ”
หากสงสัยว่าทำไมอาจารย์สูงวัยอย่าง ชาญวิทย์ ทำไมถึงออกมาพูดจาด้วยภาษาเช่นนี้ และต้องการสื่อสารถึงอะไรก็จะพบถึงความรู้สึกนึกคิดของเขา นั่นเพราะการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำนักศึกษาผู้ยืนกรานปฏิรูปสถาบันฯในฐานะแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่ได้ขึ้นอ่านแถลงการณ์บนเวทีการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ ซึ่งเนื้อหาบางส่วนเกินขอบเขตก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากการเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภาและหยุดคุกคามประชาชน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากต่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และตัวรุ้งเองด้วย
ขณะที่ต่อมาเว็บไซต์ “บีบีซีไทย” รายงานข่าวเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2563 ในหัวข้อ ชุมนุม 19 กันยา : “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำนักศึกษาผู้ยืนกรานปฏิรูปสถาบันฯ โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงการอ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ ของ น.ส.ปนัสยา ว่า “เธอได้รับต้นฉบับข้อเรียกร้อง 10 ประการ ก่อนจะขึ้นพูดบนเวทีธรรมศาสตร์เพียงไม่นานนัก
“เพื่อนส่งมาให้หนูดูตอนตีหนึ่งกว่า มันถามหนูว่าจะอ่านไหม ทุกคนรู้สึกว่ามันแรงมาก ตัวเองก็รู้ว่ามันแรงมากๆ แต่หนูรู้สึกว่ามันต้องพูด…หนูเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดม็อบครั้งนั้น แล้วเรื่องสถาบันเป็นหนึ่งในความคิดหลักของหนูตลอดมา เลยอยากขึ้นไปพูด เรียกว่าขอขึ้นไปพูดก็ได้ ขอพูดเอง”
“ต้องนั่งจับมือทั้งสองข้างกับเพื่อนแล้วถามว่าเราทำถูกใช่ไหม นี่คือ สิ่งที่เราต้องทำใช่ไหม คำตอบคือใช่ มันคือสิ่งที่ทั้งถูกต้องและต้องทำ เลยนั่งสูบบุหรี่ตัวหนึ่ง แล้วก็ขึ้นไปพูดในสิ่งที่คิดทั้งหมด รวมทั้งข้อเรียกร้องด้วย” รุ้งเปิดเผยเรื่องนี้กับบีบีซีไทย
ขณะที่ยิ่งตอกย้ำว่ามีผู้ใหญ่บางคน ทั้งยังเป็นวัยชราภาพกำลังหลอกใช้เด็กอยู่ ให้มีความคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเรื่องนี้ถูกตีแผ่เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 63 ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กข้อความระบุว่า
“เรื่องใหญ่ที่เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ คือ รุ้ง สารภาพเองว่าเพิ่งรับโพยเรื่องข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ ของอาจารย์สมศักดิ์ เจียม ก่อนขึ้นพูดบนเวทีธรรมศาสตร์รังสิต ในค่ำวันที่ 10 สิงหาคม 2020 เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
เรียกว่า “ตกกระไดพลอยโจนโดยเต็มใจ”
ผมมีคำถามที่อยากทราบคำตอบจากรุ้งนะว่า … ใครคือคนบงการที่อยู่เบื้องหลังยื่นโพยยัดใส่มือรุ้งให้ออกไปเรียกร้องข้อเสนอปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ เพราะนี่คือ ไอ้โม่งตัวจริง ซึ่งผมมองว่า มีหลายคนสุมหัวกันใช้เด็กบังหน้า”