จีนแซงหน้าสหรัฐที่ 1 เศรษฐกิจโลก!?! ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์-ธุรกิจอังกฤษฟันเปรี้ยง ปีหน้าแข่งเดือด

2200

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ-ธุรกิจ สหราชอาณาจักรเปิดเผยว่า ประเทศจีนจะก้าวแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกภายในปี 2028 เร็วกว่าที่ประเมินกันไว้ถึง 5 ปี เนื่องจากระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันของสองมหาอำนาจในยุคโควิด-19 ระบาด จีนจัดการดีฟื้นตัวเร็ว ในขณะสหรัฐล้มเหลวในการจัดการระบาดใหญ่ ผลกระทบจากการระบาด น่าจะทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก มากกว่าเกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่แนวโน้มความเสื่อมถอยแบบขาลงของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปต่อเนื่องไปอีก 5 ปีส่วนเอเชียขาขึ้นทั่วหน้าโดยมีจีนผงาดนำ คาดสหรัฐไม่นิ่งนอนใจ ปีหน้าสองมหาอำนาจ สหรัฐ-จีนแข่งกันดุเดือด

ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ (Centre for Economics and Business Research – CEBR) เผยรายงานประจำปีในวันที่ 26 ธ.ค. 2563 ซึ่งระบุว่า “การแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจและการใช้อำนาจละมุน (soft power) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน กลายเป็นธีมของเศรษฐกิจโลกมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว” “โรคระบาดโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาทำให้จีนกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบมากขึ้นในการแข่งขันนี้”

CEBR มองว่า “ทักษะด้านการจัดการโรคระบาด” ของจีนซึ่งตัดสินใจใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มข้นตั้งแต่แรก รวมถึงการที่โควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวของโลกตะวันตก มีส่วนทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจจีนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ในรายงานประจำปีที่วิจัยเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ 193 ประเทศ CEBR กล่าวว่า ประเทศจีนฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากผลกระทบการระบาดใหญ่โควิด-19 และเติบโตได้ 2% ในปี 2020 ถือเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ระดับโลกที่ยังคงมีการขยายตัว

ขณะที่สหรัฐคาดหวังว่าจะเติบโตได้ 5%ในปีนี้ ประเทศจีนกลับปิดช่องว่างของตนจากการรับมือการระบาดโควิด-19 ได้ดี ระดับจีดีพีโลกประมาณการณ์ว่า จะลดลด 4.4% ในปีนี้ เป็นระดับที่ตกต่ำมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

นายดักลาส แมควิลเลียมส์ รองประธาน CEBR “ข่าวใหญ่คือประมาณการณ์ฉบับนี้นี้ถึงอัตราเร่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เราเคยคาดการณ์ว่าจีนจะยกระดับรายได้สูงขึ้นระหว่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี (2020-2025) และทางเราพบว่าจะแซงหน้าสหรัฐเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึง 5 ปี จากที่เราประเมินไว้เมื่อปีที่ผ่านมา”

เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเฉลี่ย 5.7% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2021-2025 ก่อนที่จะชะลอตัวลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 4.5 ต่อปีในช่วงปี 2026-2030 ตามการประเมินของ CEBR

ในส่วนของสหรัฐฯ คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวชัดเจนในปี 2021 และมีการขยายตัวเฉลี่ย 1.9% ระหว่างปี 2022-2024 ก่อนจะลดเหลือ 1.6% ต่อปีหลังจากนั้น

ญี่ปุ่นจะยังเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกต่อไปจนถึงต้นทศวรรษ 2030 ก่อนจะถูกแซงหน้าโดย “อินเดีย” ซึ่งจะพลอยทำให้ “เยอรมนี” หล่นจากอันดับ 4 ลงไปอยู่ที่ 5 ด้วย

สหราชอาณาจักรซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 ของโลกในปัจจุบัน จะร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 6 หลังจากปี 2024 เป็นต้นไป แม้จะได้รับผลกระทบจากการถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป แต่ CEBR คาดการณ์ว่าจีดีพีของอังกฤษจะสูงกว่าฝรั่งเศสถึง 23% ภายในปี 2035 โดยได้อานิสงส์จากความเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม CEBR เตือนว่าผลผลิตในเชิงเศรษฐกิจ (output) ของยุโรปซึ่งคิดเป็น 19% ของกลุ่ม 10 มหาอำนาจชั้นนำของโลกในปี 2020 จะร่วงเหลือเพียง 12% ในปี 2035 หรือต่ำกว่านั้น หากเกิดข้อขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างอังกฤษกับสหภาพยุโรป

สถาบันแห่งนี้ยังคาดการณ์ว่า ผลกระทบจากโควิด-19 น่าจะปรากฏในรูปของอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นมากกว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

แนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งสหรัฐและยุโรปสะท้อนว่า จากนี้อย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า เป็นช่วงขาลง อย่างชัดเจน ขณะที่เอเซียที่รับมือการระบาดโควิด-19 ได้ดีกว่ามีแนวโน้มฟื้นตัว และขยายตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ