พลโท สรภฎ นิรันดร บุตรชาย ขุนนิรันดร คณะราษฎร 2475 นัดแถลงข่าว สำนึกผิดแทนบิดา นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของตนเองโดยมิชอบ
24 ธ.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Bongsbandhuteja Agrindra” ได้โพสต์ ว่า
“หมายข่าวถึงสำนักข่าวทุกสำนัก เรื่อง:การแถลงข่าวของ พลโท สรภฎ นิรันดร บุตรชายคณะราษฎร 2475
ประเด็น: สำนึกผิดแทนบิดา (พันตรี เสวก นิรันดร หรือ ขุนนิรันดรชัย) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะราษฎร 2475 สายทหารบก ที่ได้กระทำการมิบังควรต่อทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของตนเองโดยมิชอบในวันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563 ที่โรงแรม INTERCONTINENTAL BANGKOK ( สี่แยกราชประสงค์ ) ห้อง พินนาเคิล 1-2 . เวลา 13:30 น.จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงได้รับความร่วมมือด้วยดีจากเพื่อนสื่อมวลชนดังเช่นเคย”
สำหรับ ขุนนิรันดรชัย หรือในชื่อ พ.ต.สเหวก นิรันดร เป็นคณะราษฎรสายทหารบก กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ ที่คอยช่วยเหลือสายทหารในการก่อการปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475 จนกระทั่งประสบความสำเร็จ โดยเขาอยู่ทำงานในสายรับใช้ ‘ผู้ใหญ่’ มาโดยตลอด จนจอมพล ป. ไว้ใจเป็นอย่างมาก กระทั่งถูกแต่งตั้งเป็นคนประสานระหว่างรัฐบาล (ช่วงจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรี) กับคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (สมัยรัชกาลที่ 8 ทรงครองราชย์) โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นแกนนำในกลุ่มคณะทำงานชุดนี้ และมีขุนนิรันดรชัยเป็นเลขานุการคณะทำงานผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ว่ากันว่าในช่วงนี้ ภายหลังมีการตั้งคณะทำงานผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไม่นานนัก คณะราษฎรบางสาย ได้ชวนกันจับจองกว้านซื้อที่ดินใจกลางเมือง ทำเลเลิศหรู ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแถวถนนสาทร ถนนวิทยุ เป็นต้น
สำหรับความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ของพันเอก พิบูลสงครามกับขุนนิรันดรชัยนั้นก็น่าจะลองพิจารณาการซื้อขาย“ราคาที่ดินพระคลังข้างที่”ซึ่งเป็น“พื้นที่หน้าพระราชวังจิตรลดารโหฐาน”ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
โดยพันเอก หลวงพิบูลสงคราม ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังจากที่รัฐบาลถูกอภิปรายเรื่องการแห่กันซื้อที่ดินพระคลังข้างที่เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 แล้ว พันเอก หลวงพิบูลสงคราม ได้ยื่นหนังสือลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามการลาออกของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนานายกรัฐมนตรี
โดยพันเอก หลวงพิบูลสงคราม ได้ยอมรับในการเขียนจดหมายชี้แจงหนังสือพิมพ์เพื่อประกอบเหตุผลการลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 28กรกฎาคมพ.ศ. 2480ว่าเมื่อปีพ.ศ. 2479ได้มีผู้แนะนำให้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่หน้าพระราชวังจิตรลดารโหฐานเพื่อ“ปลูกบ้านส่วนตัว”
แม้จะซื้อที่ดินจากพระคลังข้างที่จริงแต่ก็ได้ขายคืนที่ดินกลับไปเพราะไม่ต้องการให้เกิดความยุ่งยากในการขับไล่ราษฎรและการรื้อถอนของสิ่งปลูกสร้างโดยสำหรับประเด็นที่น่าวิเคราะห์จากการแถลงครั้งนั้นในเรื่อง“ราคาที่ดิน”ปรากฏความตอนหนึ่งว่า:
“ได้ตกลงซื้อไว้ 2ไร่ราคาไร่ละ 4,000บาทเป็นเงิน 8,000บาททางพระคลังข้างที่ก็จัดการโอนที่ดินนั้นให้ข้าพเจ้าประมาณเดือนมกราคมพ.ศ. 2480”
ในขณะที่นายธรรมนูญ นิรันดร หนึ่งในทายาท“ขุนนิรันดรชัย”ได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 พระราชทานพื้นที่ 1 ไร่ให้“ขุนนิรันดรชัย”นั้น เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าขุนนิรันดรชัยได้ลาออกจากราชเลขาธิการในพระบาทก่อนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 จะทรงบรรลุนิติภาวะ และก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 จะทรงเสด็จนิวัติกลับประเทศไทยด้วย ดังนั้นขุนนิรันดรชัยจึงได้เป็นข้าราชการในสำนักราชเลขานุการของ“คณะผู้สำเร็จราชการเท่านั้น” ดังนั้นจึงน่าสงสัยว่าการได้ที่ดินมาในครั้งนั้นได้มาจากใครระหว่าง ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 หรือได้จากคณะผู้สำเร็จราชการกันแน่
ขณะเดียวกันจาการสัมภาษณ์ของนายธรรมนูญในครั้งนั้น ทำให้ทราบได้ว่า ขุนนิรันดรชัย ได้ซื้อที่ดินหน้าพระราชวังจิตรลดาในราคาต่ำกว่า 75 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับราคาหน้าพระราชวังเดียวกันที่“พันเอก หลวงพิบูลสงคราม”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เคยซื้อเอาไว้เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2480 ในราคา 4,000 บาทต่อไร่
ขุนนิรันดรชัยซื้อที่ดินบริเวณ“หน้าวัง” ในราคาถูกกว่าที่ซื้อพื้นที่เพิ่มเติม 62.5 เปอร์เซนต์ โดยจากราคาหน้าวังตารางวาละ 2.50 บาท (1,000 บาทต่อไร่) มาเป็นซื้อพื้นที่เพิ่มเติมตารางวาละ 4 บาท (1,600 บาทต่อไร่)
ในช่วงนั้นมีการนำที่ดินพระคลังข้างที่ออกมาจัดสรรให้สมาชิกคณะราษฎรผ่อนซื้อในราคาถูกๆ อ้างว่าเป็นที่ดินพระราชทาน ครั้นต่อมาปรากฏว่าผู้ซื้อแทบทุกคนไม่มีการผ่อนชำระ ก็จัดฎีกาขอพระราชทานยกหนี้ให้ แน่นอนว่าการกระทำภายใต้พระปรมาภิไธยนี้ องค์ยุวกษัตริย์มิเคยทรงได้รับทราบ
ต่อมาร.ท.ขุนนิรันดรชัยเปลี่ยนชื่อ เป็นสเหวก นิรันดร พ้นความหมายเดิมของเสวกไป ปัจจุบันตระกูลนิรันดรคือผู้ถือครองที่ดินผืนงามขนาดใหญ่ผืนหนึ่งบนถนนวิทยุที่ได้ “รับพระราชทาน”มาตั้งแต่ครั้งกระนั้น