จุดจบลูกเศรษฐี-นายทุนมาร์กซิสต์!!! จับตาก้าวหลังธนาธร เมื่อก้าวหน้าพลาดแพ้หมดรูป???

2163

จากการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั่วประเทศในวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ผู้สมัครนายก อบจ. 76 จังหวัด ผู้สมัครลงพื้นที่หาเสียงในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งที่คนออกมาขับไล่ ให้ออกไปจากพื้นที่หาเสียงปรากฏทีมงานคณะก้าวหน้า ที่นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

โดยจะเห็นว่าจากการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งในแต่ละครั้ง นายธราธร ได้เดินทางไปช่วยผู้สมัครหาเสียง มีหลายพื้นที่ ที่ประชาชนออกมาขับไล่ เปิดเพลงหนักแผ่นดินให้ฟัง หรือแม้กระทั่งตะโกนไล่ ชูป้ายถามไปถึงว่า ทำไมต้องจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์, ทำไมต้องอยากปฏิรูปสถาบันฯ เป็นต้น

ดังนั้นการถูกขับไล่ โดยมีเสียงไม่เลือกคนหรือกลุ่มจาบจ้วงสถาบันต่อนายธนาธร และคณะก้าวหน้านั้น ได้ส่งผลต่อคะแนนเสียงหรือไม่ ดังนั้นจึงมาติดตาม ผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ. (นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด) อย่างไม่เป็นทางการในจังหวัดสำคัญๆที่ถือเป็นยุทธศาสตร์ของคณะก้าวหน้า

สำหรับคณะก้าวหน้า ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) จำนวน 42 จังหวัด และเมื่อผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ทั่วประเทศ 76 จังหวัด โดยมีผู้ได้รับการเลือกตั้ง(คณะกรรมการการเลือกตั้ง จะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง) ดังนี้

ซึ่งจากการตรวจสอบผลการนับคะแนน อย่างไม่เป็นทางการ จากทุกจังหวัด ยังไม่พบว่ามีผู้สมัครจาก “คณะก้าวหน้า” ได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนใหญ่อยู่อันดับ 3-4 โดยคะแนนทิ้งห่างจากอันดับหนึ่ง หลายหมื่นคะแนน บางจังหวัดแพ้เป็นแสนคะแนน โดยก่อนการเลือกตั้ง 20 ธ.ค. นายธนาธร เคยให้สัมภาษณ์ว่า “คณะก้าวหน้าจะต้องชนะแบบแลนด์สไลด์ และเชื่อว่าการเลือกตั้ง ท้องถิ่น ส่งผลต่อการเมืองระดับชาติ”

ดังนั้นเองที่มีหลายคนออกมาตั้งข้อสังเกต พร้อมทำนายอนาคตของนายธนาธร โดยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือนักเขียนซีไรต์ อย่าง  วิมล ไทรนิ่มนวล ที่กล่าวไปถึงตัวตน ที่มา แนวความคิดของประธานคณะก้าวหน้าไว้อย่างเปิดเปลือยตัวตนผ่านเฟซบุ๊ก บางช่วงว่า

“จุดจบ” นับแต่วันที่ธนาธรเปิดตัวว่าจะเข้าสู่การเมือง ผมเข้าไปถามกูเกิ้ลว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน เพราะผมรู้ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตเขานิดหน่อยว่าเป็นลูกมหาเศรษฐี แล้วก็ได้รู้เพิ่มเติมว่าเขาเป็นมาร์กซิสต์ และเป็นเสื้อแดงที่เคยโดนยิงด้วยกระสุนยาง

ลูกมหาเศรษฐีเป็นมาร์กซิสต์นั้นมีไม่น้อย เพราะเขารักอุดมการณ์ แม้จะถ่างขายืนอยู่2ชนชั้น คือขาหนึ่งเป็นมาร์กซิสต์ อีกขาหนึ่งเป็นลูกนายทุนก็ตาม

บางคนศึกษาทฤษฎีอย่างละเอียดลึกซึ้งและเห็นว่าปัญหาในโลกนี้ต้องจัดการด้วยทฤษฎีของตนเท่านั้น เขาจึงกลายเป็น “นักอุดมการณ์” หรือผู้เชี่ยวชาญในการมองโลกด้วยทฤษฎีที่เขายึดมั่นถือมั่น..ไม่ว่าโลกและชีวิตนอกทฤษฎีจะเป็นไปอย่างไร เขาก็จะเห็นและจัดประเภทมันตามทฤษฎีนั้น

เขาจึงมีคำพูดขลังๆที่ฟังจนเอียน ได้แก่ ผู้กดขี่ นายทุน ขุนนาง ศักดินา ความเป็นธรรม ความเท่าเทียม ล้มล้าง ปฏิวัติ เป็นต้น

แต่โลกและชีวิตที่เป็นจริงนั้นหลากหลาย ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต..เกินกว่าสายตาและความคิดอันคับแคบของมนุษย์จะมองได้ทั่วถึง

ธนาธรเป็นลูกมหาเศรษฐีที่เป็นมาร์กซิสต์…”ความเป็นลูกมหาเศรษฐี” ทำให้เขาเป็น “คุณหนู” ที่เอาแต่ใจตน ตนเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดังนั้นเมื่อเขาสนใจการเมือง-การปกครอง เขาจึงนิยมชมชอบลัทธิมาร์กซ์  เพราะมันเป็น “ของสำเร็จรูป” ไม่ต้องใช้วิจารณญาณในเรื่องอื่นใดมาก และพยายามสร้างภาพว่า “ติดดิน” ตามลัทธิของตน

ส่วน “ความเป็นมาร์กซิสต์” ทำให้เขามอง “โลกและชีวิต” ด้วยความคิดและความเชื่อเพียงชุดเดียว อย่างที่เขาประกาศในวันเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ว่า..ใครเห็นต่างจากเขาก็ต้องเป็นศัตรูกับเขา! (ตามทฤษฎีชนชั้น) ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเขาเป็นคนหนูจริง และมีความคิดชุดเดียวจริง

นับแต่วันที่ธนาธรเปิดตัวสู่สาธารณะจนถึงวันนี้ ผมเห็นแต่เขาขยันสร้างภาพว่าตนมีความรู้มีความสามารถในการบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ผมมักจะเห็นการพลิกลิ้น โป้ปดมดเท็จ ตนทำผิดทำพลาดก็ก่นโทษแต่คนอื่น ยอมรับว่าตนผิดพลาดไม่ได้ จึงไม่เคยเลยที่เขาจะโทษตนเอง

“เมื่อไม่โทษตนเองก็ไม่ได้พิจารณาตน เมื่อไม่พิจารณาตนก็ไม่เห็นโทษของตนเอง ผมจึงเห็นว่าธนาธรไม่มีคุณสมบัติอะไรที่จะเป็นผู้นำได้ โดยเฉพาะในด้านการเมือง-การปกครอง”

นั่นคือถ้อยความของนักเขียนอย่างวิมล ซึ่งจะเป็นจริงดังนี้หรือไม่ เราต้องลองย้อนกลับไปดูประวัติของนายธนาธร กันอีกสักครั้งในช่วงปี 2561 “เอก” “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”ผู้มีฉายา “ไพร่หมื่นล้าน” อยู่ในวัย 40 ปี ที่ตัดสินใจถอดหมวกจากนักธุรกิจมาสวมหมวกนักการเมืองเต็มตัว ในตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

ในห้วงเวลาการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของ “ธนาธร” ได้ทำกิจกรรมนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 2542 ได้รับเลือกเป็นอุปนายก องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) และในปี 2543 ได้รับเลือกเป็นรองเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)

กระทั่ง 15 มีนาคม 2561 “ธนาธร” เปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ พรรคการเมืองของกลุ่มคนที่ไม่ยอมจำนนต่อการกดขี่ จะมุ่งสร้างการเมืองแบบใหม่ ฟื้นความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ออกแบบนโยบายที่ทำให้ประชาชนมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม เข้าถึงทุนและทรัพยากร ทำลายระบบผูกขาด พัฒนาสวัสดิการ เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่ผูกขาดโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มีระบบยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้โดยประชาชน และมีประชาชนเป็นเจ้าของพรรคร่วมกัน ผ่านการระดมสมองและระดมทุน โดยสมาชิกพรรคจะมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ไปจนถึงนโยบาย พร้อมย้ำว่าจะระดมทุนจากประชาชน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง หรือนายทุนมาอยู่เหนือสมาชิกพรรค

“พรรคอนาคตใหม่” ประเดิมประชุมใหญ่ครั้งแรกวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยที่ประชุมมีมติเลือก “ธนาธร” เป็นหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ ขณะที่ “ธนาธร” ขึ้นเวทีปราศรัย โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า

“แต่ก็เป็นเพราะความที่ผมมีอันจะกินนั่นเอง ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า หากผมซึ่งมีทรัพยากรมากกว่าคนอื่น ไม่ลงมือทำอะไรเลยในห้วงเวลาที่สังคมมืดมิดถึงขีดสุด ผมจะตอบลูกหลานได้อย่างไรว่าในห้วงเวลาเช่นนี้ เราทำอะไรอยู่ เราจะมีความสุขอยู่ได้อย่างไรในเมื่อประชาชนทุกหย่อมหญ้ากำลังเดือดร้อน”

จะเห็นว่าความคิดอุดมการณ์ที่หลั่งไหลออกมาจากนายธนาธร ช่างตรงกันเสียเหลือเกินกับที่ วิมล นักเขียนซีไรต์ ได้พูดถึงไว้ข้างต้น แต่จะใช้จุดจบของธนาธร หรือไม่ หากจะดูที่ผลเลือกตั้งนายกฯอบจ.และสมาชิกอบจ.ครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งคณะก้าวหน้าไม่ประสบความสำเร็จ ต่างจากผลเลือกตั้งส.ส.เมื่อมีนาคม 2562 ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ผู้แทนเข้าไปนั่งสภาฯถึง  81 คน

เช่นนี้แล้ว ผลเลือกตั้งอบจ.จะใช่คือจุดจบของธนาธร และคณะก้าวหน้าแล้วหรือไม่ ก็คงสรุปได้แค่เพียงตอนนี้ แต่ที่แน่ๆคือ ธนาธร เป็นนายทุน เป็นลูกมหาเศรษฐีที่เป็นมาร์กซิสต์และเอาแต่ใจตัวเองจริงๆ???