“เรืองไกร” ร้องบิ๊กตู่สอบคมนาคม ผิดวินัยคลัง-เอื้อประโยชน์เอกชน?? จริงหรือไม่รมว.ศักดิ์สยามฯต้องเคลียร์

1913

การเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีฯ ตรวจสอบกระทรวงคมนาคม กรณีการต่อสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี และสัมปทานการบริหาร พื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.(AOT) จุดประกายให้เกิดคำถามต่อท่าทีและการปฏิบัติของกระทรวงคมนาคม ต่อรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งด้านคมนาคมขนส่งเหมือนกัน ระหว่าง AOT กับการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอสกับกทม.  ว่าเป็นพฤติกรรมแตกต่างสองมาตรฐานหรือไม่?  โดยล่าสุดนายเรืองไกร อดีตสว.ออกมาจี้บิ๊กตู่ให้สอบ AOT เกี่ยวกับการแก้สัญญาสัมปทานโดยไม่ผ่าน ครม. เป็นการส่อเอื้อเอกชนและผิดวินัยคลังหรือไม่ ทำสังคมจับตาความเกี่ยวโยง 2 โครงการยักษ์มูลค่านับแสนล้าน ในเงื้อมมือรมว.คมนาคมที่ต้องออกมาชี้แจงให้กระจ่าง ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

เรืองไกรบี้นายกฯสอบทบทวนAOTแก้ไขสัญญา

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. กล่าวถึงกรณีนายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน หรือ AOT มีการแก้ไขสัญญาลดรายได้ที่ภาคเอกชนต้องจ่ายตามสัญญาเดิมว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับรายได้ของภาครัฐ และอาจเป็นเหตุให้งดโบนัสพนักงาน AOT ด้วย ตนจึงทำหนังสือถึงนายกฯ ประยุทธ์ เพื่อให้ชี้แจงในประเด็นต่อไปนี้ 

  1. คณะรัฐมนตรีเคยมีมติให้ AOT แก้ไขสัญญาดังกล่าวหรือไม่ 
  2. การที่ AOT แก้ไขสัญญาดังกล่าวเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ภาคเอกชนหรือไม่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือไม่ และฝ่าฝืน พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 27 หรือไม่
  3. เรื่องนี้มีการร้องไปที่กระทรวงการคลัง ปัจจุบันมีการดำเนินการหรือไม่ 
  4. การประมูลตามสัญญาปัจจุบันอาจมีความไม่ชอบด้วย TOR นายกฯ รู้หรือไม่ และกล้าตรวจสอบหรือไม่ และ 
  5. ขอให้นายกฯ ลงมากำกับดูแลด้วยตนเองได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาอาจมีการวิ่งเต้นและร้องขอจากหลายฝ่ายเพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้

ทั้งนี้นายเรืองไกร ได้ส่งหนังสือพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องถึงนายกฯ ในวันที่ 14 ธ.ค. ทางไปรษณีย์ EMS

 

คำถามเกี่ยวกับการใช้พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง

ในกรณีรัฐวิสาหกิจ 2 เรื่องทั้ง บ.กรุงเทพธนาคม กรณีต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวและ ทอท.กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีและการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์

1.กระทรวงคมนาคม ‘คัดค้าน’ การต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้า ‘สายสีเขียว’ ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกทม. และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ในเครือบีทีเอส เป็นสิ้นสุดสัมปทานปี 2602 จากเดิมที่สิ้นสุดในปี 2572

ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เรียก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เข้าหารือเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแต่สุดท้ายการหารือไม่ได้ข้อยุติ

เนื่องจากกระทรวงคมนาคมยืนยันค้านเรื่องราคาค่าโดยสารว่าแพงไป  โดยกรมการขนส่งทางราง คำนวณว่าอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายที่เหมาะสม คือ 50 บาท ไม่ใช่ 65 บาทตลอดสายตามที่กรุงเทพฯเสนอ และมองว่าการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไปอีก 30 ปี ทั้งๆสัมปทานปัจจุบันยังเหลืออายุอีก 9 ปี มีความเหมาะสมหรือไม่

คำถามต่อท่าทีและการปฏิบัติของกระทรวงคมนาคมและศักดิ์สยาม ชิดชอบ ในกรณีการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส  ทำไมพฤติกรรมแตกต่างจากกรณีแก้ไขสัญญาสัมปทาน ‘ดิวตี้ฟรี’ และสัมปทานการบริหาร ‘พื้นที่เชิงพาณิชย์’ ในสนามบิน ของ AOT:บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.

 ขณะที่หนังสือด่วนที่สุด ที่คค (ปคร) 0202/401 ที่ลงนามโดย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ที่เสนอให้ครม. เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563 เสนอว่า การพิจารณาต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ที่ระบุว่า

“…ในกรณีที่การดำเนินการก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐ ให้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้ และประโยชน์ที่จะได้รับเสนอในการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีด้วย ในการพิจารณาอนุมัติกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามวรรคหนึ่ง ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วน ประโยชน์ที่ได้รับ และภาระทางการคลังหรือการสูญเสียรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย…” 

  1. กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ‘ดิวตี้ฟรี’ และสัมปทานบริหาร ‘พื้นที่เชิงพาณิชย์’ ในสนามบิน ของทอท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.กระทรวงคมนาคม ที่ไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เช่นเดียวกรณีต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว

คำถามคาใจสองมาตรฐานหรือไม่?

ประการแรกทั้งบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และ ทอท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเหมือนกัน แต่กลับมีมาตรฐานการปฏิบัติที่แตกต่างกัน

เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 29 ก.ค.2563 คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ และสายการบิน ณ ท่าอากาศยาน ของ ทอท. ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะการช่วยเหลือและเยียวยากลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ซึ่งได้รับสัมปทานดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1 สัญญา ได้รับสัมปทานดิวตี้ฟรี 3 สนามบิน (ภูเก็ต ,เชียงใหม่ และหาดใหญ่) 1 สัญญา และได้รับสัมปทานบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1 สัญญา ประกอบด้วย

1.อนุมัติให้เลื่อนเวลาการเข้าปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ออกไปอีก 1 ปี พร้อมทั้งขยายระยะเวลาสิ้นสุดของการประกอบกิจการออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 31 มี.ค.2574 เป็นวันที่ 31 มี.ค.2575 จากสัญญาในปัจจุบันที่เริ่มต้นสัญญาตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.2563 ถึงวันที่ 31 มี.ค.2574

2.ปรับวิธีการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2565 ทั้งกรณีสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี 2 สัญญา และสัญญาบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ 1 สัญญา โดยใช้ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing per Head) แต่ยังเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละเหมือนเดิม

ประการที่สอง-การแก้สัญญาดังกล่าวส่งผลให้ทอท. อาจสูญเสียรายได้จากการ ‘ยกเลิก’ การจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) หลายหมื่นล้านบาท จากสัญญาเดิมที่กำหนดให้กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ต้องจ่าย Minimum Guarantee สำหรับ 3 สัญญา ในปีแรกเป็นเงินรวม 23,548 ล้านบาท หรือไม่ต่ำกว่า 2.4 แสนล้านบาทตลอดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน 

แต่ปรากฎว่าทั้ง ‘ก่อนและหลัง’ วันที่บอร์ดทอท.มีมติให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการต่างๆ ซึ่งรวมถึงกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2563 นั้น ทอท.ไม่เคยจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้ และประโยชน์ที่จะได้รับ เสนอให้ครม.อนุมัติ ตามมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เลย

ประการที่สาม-แม้ว่ากิจการ ‘ร้านค้าดิวตี้ฟรี’ และการบริหาร ‘พื้นที่เชิงพาณิชย์’ ภายในสนามบิน จะไม่ได้อยู่ในประเภทกิจการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 

แต่ในฐานะที่ ทอท. ซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 70% ของหุ้นทั้งหมด เป็นรัฐวิสาหกิจ ตามนิยามในมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ซึ่งระบุว่า ‘รัฐวิสาหกิจ’ หมายความว่า “…(2) บริษัทจํากัดหรือบริษัทมหาชนจํากัดที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตาม (1) มีทุนรวมอยู่ด้วยเกินร้อยละห้าสิบ…”

ดังนั้น ทอท. จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ด้วย 

การให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ดังกล่าว ทอท.ระบุเหตุผลเพียงว่า เป็นการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการที่สอดคล้องกับข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ก.พ.63 ทั้งนี้ช่วยในระดับเหมาะสมหรือ มากเกินไปหรือไม่  เพราะรัฐอาจได้รับความสูญเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล