วัคซีนต้านโควิด-19ของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคชุดแรก กระจายด่วนทั่วประเทศสหรัฐโดยส่งไปยังศูนย์วัคซีน 145 แห่งเพื่อเริ่มฉีดวัคซีนล็อตแรกจำนวน 2.95ล้านโดสสำหรับชาวอเมริกันกลุ่มแรกใน 3 วัน หลังผ่านการอนุมัติกรณีฉุกเฉินจากFDA และ CDCเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมายจะฉีดให้ครบ 20 ล้านคนในเดือนธันวาคมปีนี้ การฉีดวัคซีนอาจทุเลาปัญหาบางส่วน แต่ขณะนี้ปัญหาการระบาดอย่างรวดเร็วและการขาดแคลนเตียงผู้ป่วย แพทย์-พยาบาล ยังเป็นปัญหาที่สหรัฐยังต้องเผชิญและยังไม่มีคำตอบว่าจะคลี่คลายอุปสรรคเหล่านี้อย่างไร ขณะสหรัฐติดเชื้อพุ่งทะลุกว่า 16 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตจากโควิดกว่า 3 แสนรายแล้ว นับว่าสาหัสที่สุดในโลก
Sandra Lindsay, an intensive-care nurse in Queens, received the coronavirus vaccine during a news conference with Gov. Andrew Cuomo. New York State officials said the shot was the first to be given outside of a vaccine trial in the U.S. https://t.co/4NExpwg5os pic.twitter.com/RQ96JVNDZu
— The New York Times (@nytimes) December 14, 2020
พยาบาลสาวคนแรกได้ฉีดวัคซีนในสหรัฐ
สนข.รอยเตอร์และเดอะวอชิงตันโพสต์รายงานว่า สหรัฐเริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์-ไบโอเอ็นเทคให้แก่ประชาชนในวันที่15 ธ.ค. 2563 โดยผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นกลุ่มแรกได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ในบ้านพักคนชราโดยครั้งนี้ พยาบาลสาวเป็นคนแรกในสหรัฐที่ได้รับวัคซีนคือ ซานดรา ลินเซย์จากนิวยอร์ก
การฉีดวัคซีนดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้ให้การอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์แห่งสหรัฐและบริษัทไบโอเอ็นเทคแห่งเยอรมนี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ นายโรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ได้ลงนามอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ให้กับชาวอเมริกันอย่างเป็นทางการ โดยเริ่มการฉีดวัคซีนในวันที่ 15 ธ.ค.
สหรัฐอเมริกาเริ่มขนส่งวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคชุดแรกไปยังศูนย์วัคซีน 145 แห่งในหลายมลรัฐเพื่อเริ่มการฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่คนอเมริกันวันจันทร์ ขณะจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาของสหรัฐทะลุ 16 ล้านราย
ขนส่งด้วยปฏิบัติการความเร็วสูง
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคมวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค มีกำหนดขนส่งออกจากโรงงานผลิตในเมืองคาลามาซู รัฐมิชิแกน เช้าวันอาทิตย์ ซึ่งจะเป็นโครงการแจกจ่ายวัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดและซับซ้อนที่สุดในสหรัฐ วัคซีนเหล่านี้จะถูกบรรจุไว้ในกล่องที่ภายในใส่น้ำแข็งแห้งไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส ที่จะคงสภาพของวัคซีนนี้ไว้
พลเอกกุส เพอร์นา ผู้ควบคุมปฏิบัติการลอจิสติกครั้งใหญ่นี้ภายใต้ “ปฏิบัติการความเร็วสูง” เปรียบเทียบช่วงเวลานี้ว่าเป็นวันดี-เดย์ หรือจุดเปลี่ยนของสงครามโลกครั้งที่ 2 และตัวเขามั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะสามารถแจกจ่ายวัคซีน ที่เขาเรียกว่าสินค้าล้ำค่าที่จำเป็นต่อการเอาชนะโควิดที่เป็นศัตรู นี้ได้อย่างปลอดภัย
สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อไวรัสสะสม 16.06 ล้านคน โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 1.1 ล้านคนในช่วง 5 วันที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิต 295,000 คนแล้ว ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ทั่วโลกมีไม่ต่ำกว่า 71.79 ล้านคน เสียชีวิต 1.6 ล้านคน ช่วงเวลา 2 สัปดาห์มานี้ สหรัฐมีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 มากกว่าวันละ 2,000 คน เป็นอัตราการเสียชีวิตเท่ากับช่วงแรกที่ไวรัสนี้เริ่มระบาดในสหรัฐ
พลเอกเพอร์นากล่าวว่า สถานที่หลายร้อยแห่ง รวมถึงโรงพยาบาลและศูนย์แจกจ่ายอื่นๆ ที่จัดเตรียมไว้ จะได้รับวัคซีนระหว่างวันจันทร์ถึงวันพุธ โดยจะมีประชาชนประมาณ 3 ล้านคนที่จะได้รับวัคซีนชุดแรก
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐบาลกลางแนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่ผู้ที่พักอยู่ในบ้านพักคนชราและผู้ปฏิบัติการด้านสาธารณสุขที่เป็นด่านหน้าเป็นกลุ่มแรก กระนั้นรัฐต่างๆ จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ตั้งเป้าฉีด 20 ล้านคนในเดือนนี้
ทางการสหรัฐเพิ่งลงมติเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อนุมัติการใช้วัคซีนโควิดของไฟเซอร์แบบฉุกเฉิน และตั้งเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน 20 ล้านคนในเดือนนี้
กล่องบรรจุวัคซีนแช่ในน้ำแข็งแห้งชุดแรก 4,875 โดส จะออกจากโรงงานในเมืองคาลามาซูไปส่งขึ้นเครื่องบินสินค้าของยูพีเอสหรือเฟดเอ็กซ์ที่รออยู่ เพื่อส่งไปยังเมืองลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี และเมมฟิส รัฐเทนเนสซี ตามลำดับ จากที่นั่นบรรจุภัณฑ์เหล่านี้จะถูกส่งไปยังสถานที่ 145 แห่งที่กำหนดไว้สำหรับการแจกจ่ายวัคซีนชุดแรก
สหรัฐเป็นประเทศที่ 6 ของโลกที่อนุมัติการใช้วัคซีนไฟเซอร์ ต่อจากอังกฤษ, บาห์เรน, แคนาดา, ซาอุดีอาระเบีย และเม็กซิโกวัคซีนซึ่งใช้เทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอที่เริ่มทำการทดลองเมื่อ 11 เดือนก่อน ได้ผล 95% ในการทดลองทางคลินิกกับอาสาสมัคร 44,000 คน และไม่มีความน่าวิตกด้านความปลอดภัยขั้นร้ายแรง อย่างไรก็ดี หลังจากผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพ 2 คนของอังกฤษประสบกับปฏิกิริยาภูมิแพ้ขั้นรุนแรง ทางการสหรัฐจึงแนะนำว่า ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ควรหลีกเลี่ยงการรับวัคซีนนี้